วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

เทพเอ้อหลาง



                 
เทพเอ้อหลาง




                    เทพเอ้อหลาง  เป็นเทพองค์หนึ่งของจีนตามความเชื่อในศาสนาพุทธ เรื่องราวของเทพเอ้อหลางมีการเล่าผ่านเรื่องราวในนิยาย 2 เรื่องที่เป็นที่รู้สึกกันเป็นอย่างดีคือ “ไซอิ๋ว” กับ “พงสาวดารห้องสิน” อีกทั้งยังมีกล่าวแยกถึงประวัติของเทพเอ้อหลางใน “ทำเนียบรวมเทพ” อีกด้วย เรื่องราวความเป็นมาของเทพเอ้อหลางจึงมีมากมายจากหลายที่มา จึงขอเล่าเรื่องราวของเทพเอ้อหลางในแบบที่ชาวจีนเขาเล่าสืบต่อกันมาโดยกล่าวรวมๆ จากทุกที่มาที่กล่าวมาข้างต้นดังนี้ เทพเอ้อหลางเป็นลูกชายคนที่สองของหลี่ปิงเสนาบดีแห่งราชวงศ์ฉิน ชื่อว่า เอ้อหลาง* (ในพงสาวดารห้องสินกล่าวว่า ชื่อเดิมของเทพเอ้อหลางคือ หยางเจี่ยน บิดาเป็นแซ่ หยาง) มารดาของเขาเป็นน้องสาวของเง็กเซียนฮ่องเต้ ผู้เป็นจักรพรรด์แห่งสวรรค์ นางได้หลบหนีสวรรค์ลงมาแต่งงานอยู่กินกับมนุษย์ที่โลกมนุษย์ 
                   
                    เรื่องที่นางทำนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎของสวรรค์ นางจึงถูกจับตัวไปคุมขังที่เขาเถาซานดังนั้น เทพเอ้อหลาง จึงเป็นหลานของเง็กเซียนฮ่องเต้ เขาเติบโตมาโดยไม่ทราบเรื่องราวของมารดา แต่พอทราบว่ามารดาถูกจับตัวไปขังไว้จึงไปช่วยมารดาด้วยการผ่าเขาเถาซานออกเป็นสองซีก ครั้นเง็กเซียนฮ่องเต้ทราบเรื่องจึงให้ทหารสวรรค์จับตัวมาลงโทษ เจียงจื่อหยา (ในพงศาวดารห้องสินกล่าวถึง เจียงจื่อหยา ว่าเป็นเป็นเทพบนสวรรค์ แต่ลงไปทำงานในโลกมนุษย์ โดยมีอยู่ในโลกมนุษย์ในฐานะกุนซือของจีฟา อ๋องแห่งรัฐอู่ และเจียงจื่อหยาผู้นี้คือ อาจารย์ผู้สอนสั่งเทพเอ้อหลางมาตั้งแต่เด็กๆ ) ผู้เป็นอาจารย์ ได้ร้องขอต่อองค์เง็กเซียนให้ลดโทษเป็นการให้เทพเอ้อหลางทำความดีชดใช้ความผิด เขาเพียรทำความดีนับแสนครั้ง เพื่อให้สวรรค์ปลดปล่อยมาดาของตนจากการคุมขัง ความดีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เขาทำคือ การช่วยบิดาปราบมังกรที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร ยังผลให้อุทกภัยที่เหล่ามนุษย์ได้ประสบอยู่นั้นทุเลาลง ผู้คนที่ทราบข่าวจึงพากันเคารพกราบไหว้เขาประดุจเทพ และเมื่อเขาได้ทำความดีหลายต่อหลายอย่างมากยิ่งขึ้น มนุษย์จึงเรียกขานเขาในนาม “เทพเอ้อหลาง” 

                   ครั้นเมื่อได้เป็นเซียนอยู่บนสวรรค์แล้ว เทพเอ้อหลางจึงได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ มีเซียนฝีมือดี 1,200 องค์ เป็นกองกำลัง มีอาวุธวิเศษคือ กระจกวิเศษส่องเห็นชาติกำเนิดเดิมและทวนสามแฉก อีกทั้งยังมีเห่าฟ้าซึ่งเป็นสุนัขสวรรค์เป็นสัตว์เลี้ยงคู่กาย ครั้งหนึ่งเกิดศึกใหญ่ของสวรรค์ก็ได้รับราชโองการจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบพญาลิงนาม “เห้งเจีย” (“เห้งเจีย” ก็คือ ซุนหงอคง ลูกศิษย์ของพระถังซำจั๋งนั่นล่ะ) ทั้งสองมีฝีมือพอฟัดพอเหวียงกันมาก ดูแล้วเหมือนไม่ค่อยจะชอบหน้ากันเสียเท่าไหร่ด้วย เพราะฝ่ายหนึ่งเคร่งขรึมซื่อตรงตามกฏสวรรค์ อีกฝ่ายเอาแต่ใจไหลไปเรื่อย แต่ทั้งสองฝ่ายเหมือนสำนวนหนึ่งว่า ไก่เห็นตีนงู-งูเห็นนมไก่ดูได้จากการต่อสู้ครั้งหนึ่งที่ เห้งเจียไม่มีสมาธิ เหาะหนีหัวซุกหัวซุนโดยแปลงร่างเป็นนกบ้าง ปลาบ้าง เป็นศาลเจ้าบ้าง สารพัดจะแปลงตัวหลอกตาเทพเอ้อหลางที่ตามมาจับกุม แต่เทพเอ้อที่มีตาวิเศษก็ใช้ตาที่สามส่องหาจนเจอได้ทุกครั้งไป และไม่ว่าเห้งเจียจะแปลงเป็นตัวอะไรก็ตามได้หมด สุดท้ายของการตามจับตัวนั้น เทพเอ้อหลางก็จับเห้งเจียมารับการลงโทษได้ในที่สุด ว่ากันว่า เทพเอ้อหลางจะแพ้เห้งเจียก็ตรงที่เขาสามารถแปลงกายได้ 72 อย่าง ส่วนหงอคงเขาแปลงกายได้ 73 อย่าง ต่างกันไปจุดเดียวนี่เอง ส่วนเห้งเจียที่โดนจับก็ไม่ใช่ว่าฝีมือด้อยกว่าเทพเอ้อหลาง แต่เพราะนิสัยชอบทำเป็นเล่นมากไปหน่อยเลยประมาทระหว่างการต่อสู้ จึงถูกจับได้ในศึกครั้งนั้น






ขอขอบคุณ   http://poomracing.blogspot.com/2010/02/blog-post_7238.html
รูปภาพจาก    www.somboon.info


วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

เฮี้ยนเที้ยนซงเต่ (ผู้ถือดาบ 7 ดาว)



เฮี้ยนเที้ยนซงเต่
ผู้ถือดาบ 7 ดาว

เฮี้ยนเที้ยนซงเต่


                 เทพเจ้าเฮี้ยนเที้ยนซงเต่ ตอนเป็นคนอยู่บนโลกมนุษย์ ท่านเป็นพ่อค้าหมูและฆ่าหมูด้วยตนเองมากที่สุดคนหนึ่ง จนวันหนึ่งเกิดละอายแก่ใจ จึงตั้งปฏิญาณว่าจะไม่ทำบาปอีก จึงตัดสินใจเอามีดที่เคยใช้ฆ่าหมูนั้นไปทิ้งลงทะเลเสีย แต่เมื่อจะทิ้งเกิดจิตคิดเมตตาไปอีกว่า มีดเล่มนี้อาจจะไปทำร้ายเอาสัตว์น้ำที่อยู่ในน้ำได้ จึงตัดสินใจเอามีดนั้นมาผ่าท้องตัวเอง แล้วควักเอาไส้ กระเพาะ และอวัยวะภายในออกมาทิ้งทะเลแทน และชำระท้องของตัวเองให้สะอาด เพื่อลบล้างบาปกรรมที่เคยทำไว้ ทันใดนั้น ที่ท้องฟ้าเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมา และแสงนั้นเข้าไปอยู่ในร่างพ่อค้าหมูที่เสียชีวิต แล้วลอยขึ้นไปบนสวรรค์

                  บนสวรรค์ พ่อค้าหมูได้ตั้งใจปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียรบารมี จนได้สำเร็จเป็นองค์เทพ ได้พระนามว่า เฮี้ยนเที้ยนซ่งเต่ หรือว่ามหาราชทางทิศเหนือ ต่อมาท่านได้ทราบว่า ไส้ที่เคยทิ้งลงทะเลไปนั้นได้กลายเป็นพญางูร้าย ส่วนกระเพาะได้กลายเป็นพญาเต่าร้าย คอยทำร้ายมนุษย์ ฆ่าคน กินคน ทำให้เกิด น้ำท่วม เภทภัยต่างๆ ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นท่านไม่มีอาวุธเป็นของตนเอง จึงไปยืมดาบวิเศษ 7 ดาวของโป๊ยเซียนองค์หนึ่ง ชื่อว่า ลี้ตงปิ้น เพื่อมาปราบปีศาจ ตอนแรกลี้ตงปิ้นไม่ให้ยืม ตอนหลังลี้ตงปิ้นเห็นใจจึงให้ยืม จนท่านเฮี้ยนเที้ยนซ่งเต่สามารถปราบพญางูและพญาเต่าที่โลกมนุษย์ได้สำเร็จ ตอนหลังท่านเกิดคิดเสียดายที่จะต้องคืนดาบ จึงถ่วงเวลาว่ายังคงต้องใช้ดาบต่อไป ส่วนทางลี้ตงปิ้นก็เกรงใจไม่กล้าขอคืน จนปัจจุบัน ดาบวิเศษ 7 ดาวก็ยังคงอยู่กับท่านเฮี้ยนเที้ยนซ่งเต่
ดังนั้นใครที่รู้ประวัติท่านจึงไม่แปลกใจที่รูปปั้นของเทพเจ้าเฮี้ยนเที้ยนซ่งเต่นั้น เหยียบงูและเต่า ส่วนมือขวานั้นถือดาบ 7 ดาว ของลี้ตงปิ้น นั่นเอง 


ขอขอบคุณ   http://www.phuketbulletin.co.th/magazine/view.php?id=18

โป้เส่งไต่เต่(หมอยา รักษาโรค)



โป้เส่งไต่เต่
หมอยา รักษาโรค

โป้เส่งไต่เต่


                  โป้เส่งไต่เต่ เทพเจ้าโป้เส้งไต่เต่ หรือไตโตก้อง นามของท่านคือ หัวกี้ ชื่อตอนที่ยังไม่สำเร็จอรหันต์ เรียกคุนอาย ตามประวัติ ท่านบำเพ็ญบารมีจนอยู่ในระดับ ไต่ หรือขงจื้อ ( ตามคติแบบจีนโบราณ ผู้บำเพ็ญศีล มี 3 ระดับ คือ เจ๋ง เปรียบได้กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เต๋า เทียบได้กับพราหมณ์ และไต่ เทียบได้กับขงจื้อหรืออาจารย์)
ท่านกำเนิด ในหมู่บ้านเล็กๆ ริมชายฝั่งทะเล ชื่อ แป๊ะเซ่ว หรือศิลาขาว ในอำเภอ ตังอ้าน จังหวัดฮกเกี้ยน สมัยราชวงค์ซ้ง พ่อของท่านชื่อ ท้ง แซ่หงอ แม่ของท่านแซ่อ๋อง เดิมท่านชื่อ ฝุ้น แซ่หงอ ก่อนเกิด แม่ของท่านได้ฝันเห็นดาวปักเต้าทางทิศเหนือวิ่งเข้ามาหาในท้อง และยังได้กลืนเต่าเผือก 1 ตัวเข้าไปในท้อง วันที่ท่านเกิดคือ วันที่ 15 เดือน 3 ของจีน ค.ศ. 979 ได้เกิดมีกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณบ้าน และมีแสงจ้าไปทั่ว

               ปุ้น นับว่าเป็นเด็กที่ฉลาดและอัจริยะกว่าใครในแถบนั้น เมื่อตอนอายุ 17 ปี ท่านได้ออกจากบ้านไปเรียนวิชาแพทย์เพื่อรักษาโรคและเรื่องยาสมุนไพรต่างๆ กับผู้รู้นามว่า “ไชอ๋องพู” จนต่อมาได้ออกไปรักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยทั่วหัวระแหงจนเป็นที่โด่งดังไปทั่ว จนพระเจ้าแผ่นดินเรียกให้เข้าไปอยู่ในวัง ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนาง ตลอดชีวิตท่านได้บำเพ็ญเพียรบารมี จนเมื่อวันที่ 12 เดือน 5 จีน ค.ศ. 1036 ท่านได้สำเร็จอรหันต์ และลอยขึ้นสวรรค์ เจ้าสวรรค์แต่งตั้งให้เป็นเทพ นามว่า เชียวเห่งเหลงอ๋อง และได้ยศเป็นไต่เต่ หรือ มหาราช ท่านมีอายุในโลกมนุษย์ 58 ปี

               เมื่อเป็นเทพแล้ว ท่านปรากฏกายอีกครั้งในสมัยพระเจ้าเกาจงฮ่องเต้ ราชวงศ์ซ้ง ค.ศ.1128 หรือ 92 ปีหลังจากท่านเสียชีวิต ขณะนั้นบ้านเมืองอ่อนแอมาก ทหารจีนก่อนยุคมองโกเลียหรือพวกเง็กฮวย บุกจีน ท่านใช้อิทธิฤทธิ์ทางน้ำทำให้ศัตรูถอยทัพ จน ค.ศ. 1151 ท่านได้ลงมาช่วยคนอีก จนคนในโลกมนุษย์เห็นในบุญญาบารมีของท่าน จึงได้สร้างศาลเจ้าให้ท่าน ปัจจุบันอยู่ที่มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน

              หลังจากนั้นท่านก็ได้สร้างอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือคนเรื่อยมา จน ค.ศ.1171 ทางการจึงแต่งตั้งยศให้ท่าน เป็นเทพผู้เมตตา คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ชื่อคือ ไต่โต่จินหยิน ต่อมา ค.ศ.1227 ท่านได้รับยศเป็นเสนาบดีหรือ ชงเองจินหยิน พอ 5 ปี ถัดมาท่านได้รับยศอีกเป็นเหมี่ยวโตจินหยิน จนมาถึงสมัยหมิง ค.ศ. 1409 ท่านมาปรากฏกายอีก เข้าวังไปช่วยเหลือคน โดยท่านไปในฐานะพราหมณ์ จนเมื่อพระราชินีของพระจ้าเชียงจงเฉียนทรงประชวร รักษาด้วยหมอใดใดก็ไม่หาย ท่านได้เข้าไปถวายการรักษาจนพระราชินีหายป่วยจากโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนั้นองค์ฮ่องเต้ไม่ทราบว่าผู้ที่ทำการรักษาเป็นเทพ ท่านจึงทรงประทานทรัพย์สินเงินทองมากมายแก่ท่าน แต่ท่านได้เขียนรูปนกกระเรียนขึ้น และขี่นกกระเรียนนั้นเหาะขึ้นสวรรค์ไป ตอนหลังฮ่องเต้จึงบูรณะศาลเก่าของท่านโป้เส้ง และประทานเสื้อมังกรให้ เทียบยศเท่ากับกษัตริย์องค์หนึ่ง และแต่งตั้งยศ ให้เป็น โป้เส้งไต่เต่ หรือ มหาราช จนถึงปัจจุบัน
ในปีหนึ่งๆ ประชาชนจะไหว้ เทพเจ้าโป้เส้งไต่เต่ 2 ครั้ง คือ ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง



ขอขอบคุณ    http://www.phuketbulletin.co.th/magazine/view.php?id=18

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

นาจา




นาจา

ประวัติโดยย่อ

       

 องค์พระนาจา แซ่(ตระกูล)เดิมชื่อ หลี่ ประสูติเมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ปีผู้น้อยไม่สามารถค้นหาได้ เป็นบุตรชายคนที่ 3 แห่งตระกูลหลี่ นามว่า หลี่จิ้ง (เซียนถือเจดีย์วิเศษ) องค์พระนาจาเป็นเซียน ที่ทรงบุญฤทธิ์ และทรงอิทธิฤทธิ์มาก สามารถขับภูติผีปีศาจมารร้ายต่าง ๆ องค์พระนาจาได้สำเร็จเป็นเซียน ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์

          กล่าวกันว่า องค์พระนาจาเป็นเซียนที่คอยเป็นองครักษ์ของ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ และเป็นแม่ทัพฟ้า บัญชาการทหารฟ้าทั้งสี่ทิศ มีธงสีเหลืองเป็นธงประจำกองทัพ


บทสรรเสริญองค์พระนาจาซาไท้จื่อ

นำมอ หน่าจา ซาไท้จื้อ 
นำมอ หน่าจา ซิ้งเซียงฮุก 
นำมอ หน่าจา ตงตั๊วหง่วงส่วย
       



             จากประวัติองค์พระนาจา (ลี้โล้เฉี๊ย) ที่ผู้น้อยได้รวบรวมมานั้น มีถึง 4 ตำนาน แต่ละตำนาน ก็มีความเป็นมาที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น ผู้น้อยจึงขอเป็นตัวแทนเบื้องบน เผยแพร่พระประวัติองค์พระนาจา ดังนี้

ตำนานแรก
          พระนาจา ร่างสูงเพียง 6 จ้าง เศียรมีกงจักร มีสามเศียร เก้าพระเนตร แปดพระกร มีอิทธิฤทธิ์พ่นควันพระบาทเหยียบมังกร พระกรถือกฤษฎี เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงให้นาจาลงมาจุติลงพื้นโลก เพื่อปราบมารปีศาจ โดยให้พระนาจาจุติในครรภ์ของ มเหสีของ ท้าวอัญเจดีย์

          หลังจากที่พระนาจากำเนิดออกมาแล้ว ได้ลงเล่นน้ำในทะเลตะวันออกลงไปจนถึงวังใต้น้ำ และไปเหยียบ วังเจดีย์ ของพญามังกร พญามังกรได้สั่งให้ทหารจับ แต่กลับถูกนาจาฆ่าตายหมด รวมทั้งพญามังกรเก้าตัว (ปางเก้ามังกร) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พญามังกรโกรธมาก และจะนำความฟ้องถึงเง็กเซียน แต่ถูกพระนาจาสกัดไว้ และใช้ธนูพระยูไลยิงตาย สื่อจี้พญามังกรเฒ่า พระราชบิดาของพญามังกร โกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง หวังจะล้างแค้น จึงได้นำทหารออกจับพระนาจา และ จะถล่มเมืองที่พ่อของนาจาปกครองอยู่ นาจาจึงตัดสินใจไม่ยอมให้โดนจับ และ ไม่ต้องการให้ชาวเมืองเดือดร้อน จึงตัดเนื้อตัวเองแล้วคืนกระดูก ให้กับพระบิดาของตน

          เมื่อพระนาจาตายแล้วจึงหอบวิญญาณของตนไปพบเซียนซือจุน เซียนซือจุนเห็นว่า พระนาจามีความสามารถ ในการปราบมารปีศาจ จึงได้ชุบชีวิตให้กับพระนาจาโดยใช้ก้านบัวแทนกระดูก รากบัวแทนเนื้อ ใยบัวแทนเอ็น และใบบัวแทนอาภรณ์ขึ้นมาใหม่

          ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะเห็นว่ารูปลักษณ์ของนาจาเหยียบล้อไฟ มือถือหอกอัคคี เหาะเหินเดินอากาศได้ เหล่ามารปีศาจ ต่างก็สยบต่อพระนาจาทั้งสิ้น ต่อมาภายหลังเง็กเซียนทรงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์ เพื่อปกป้อง ประตูสวรรค์ตลอดไป

ตำนานที่สอง

          พระนาจาเดิม คือ พระกุมารไฟมาจุติ แต่ถูกแม่ทัพหลี่จิ้ง ฆ่าตาย โดยไม่เจตนา ต่อมากลับมาจุติใหม่ในท้องมนุษย์ ซึ่งก็คือภรรยา ของ แม่ทัพหลี่จิ้งนั่นเอง แต่ด้วยความเป็นเทพมาจุติ ทำให้พระนาจาโตเร็วผิดจากคนทั่วไป ทำให้หลี่จิ้งคิดว่า พระนาจาเป็นปีศาจมาเกิด ทำให้ไม่ค่อยชอบบุตรตัวเองเท่าใดนัก

          ตอนหลัง พระนาจาระลึกได้ว่า หลี่จิ้งคือคนที่ฆ่าตัวเองเมื่อชาติที่แล้ว ประกอบกับมีเรื่องกับ ลูกชายเจ้าสมุทรทะเลตงไห่ (ทะเลใต้) เจ้าสมุทรมาเอาเรื่องที่บ้าน พ่อแม่ได้ต่อว่า พระนาจาน้อยใจจึงฆ่าตัวตาย แทนคุณพ่อแม่ ต่อมาเจียงจื่อหยา ใช้รากบัวชุบชีวิตนาจา ขึ้นมาใหม่ ทำให้ฟื้นพลังกลับมาเป็นเทพ โดยมีเอี้ยมแดงใส่นั้นติดตัวมาตั่งแต่กำเนิด หลังจากนั้น ทั้งหลี่นาจา แม่ทัพหลี่ และ เจียงจื่อหยา ต่างก็ได้กลายเป็นเทพแห่งสวรรค์ทั้งหมด แม่ทัพหลี่ คือ เซียนที่ถือเจดีย์ทอง (เซียนอัญเจดีย์)


ตำนานที่สาม


          เดิมพระนาจาเป็น เทพที่อยู่บนสวรรค์มีชื่อว่า "หลินจินจื่อ" แต่ด้วยเมืองมนุษย์ มีปีศาจมาก ทางสวรรค์จึงส่งหลินจิจื่อ มาจุติยังโลกมนุษย์ เป็นบุตรของแม่ทัพหลี่ (หลี่เจ๊ง) และ นางฮึ่นสี ขณะที่ตั้งท้องอยู่นั้น แม่ทัพหลี่ ได้ถูกส่งให้ไปออกรบ ประมาณ 1 ปี กับอีก 6 เดือน เมื่อแม่ทัพหลี่กลับมา ภรรยาก็คลอดบุตรพอดี แต่กลับ เป็นลูกแก้ว จึงเข้าใจว่าเป็นปีศาจ แม่ทัพหลี่โกรธมาก จึงใช้กระบี่ฟันไปที่ลูกแก้ว เมื่อลูกแก้วแตก ก็เห็นเด็ก ที่มีหน้าตาน่ารัก นอนอยู่บนผ้าแพร และมีห่วงทอง อยู่ที่ตัวด้วย

          พระนาจาเป็นเด็กที่ซนมาก และไม่กลัวใคร วันหนึ่ง พระนาจาไปเล่นน้ำทะเล ด้วยเป็นเด็กจึงเอาผ้าเหวี่ยงเล่นที่น้ำ จึงทำให้ใต้บาดาลสะเทือน เจ้าสมุทร จึงสั่งให้ ทหารออกมาดู ก็เห็นเด็กกำลังเล่นน้ำอยู่ จึงเข้าไปขู่ พระนาจาจึงใช้ผ้าเหวี่ยง เพื่อไล่ให้ไปแต่ปรากฏว่า ถูกตัวทหาร ทำให้ทหารของเจ้าสมุทรตาย ต่อมา ลูกเจ้าสมุทรเห็นว่านานแล้ว ทหารยังไม่มารายงานจึงขึ้นตามมาดูก็เห็น ทหารตายอยู่ และมีเด็ก กำลังเล่นน้ำอยู่ จึงเข้าไปขู่ แต่ก็ถูกผ้าแพรตายเช่นกัน ทหารก็ไปรายงานเจ้าสมุทร เจ้าสมุทรโกรธมาก จึงไปหา แม่ทัพหลี่ และบอกว่าพระนาจาได้ฆ่าลูกของตน และเจ้าสมุทรจะเอาน้ำทะเล มาถล่มเมือง พระนาจาได้ยินรุ่งเช้า จึงไปเมืองบาดาล และถลกเส้นเอ็นมังกรและเสกมังกรเป็นงูเขียว และเดินทางกลับบ้าน

         เมื่อมาถึงบ้านแม่ทัพหลี่ ก็ดุด่าพระนาจาว่าเจ้าสมุทรโกรธมาก จะถล่มเมือง พระนาจาจึงเอาเส้นเอ็นออกมาให้พ่อดู แล้วบอกว่า เส้นเอ็นนี้ เอามาให้พ่อทำเสื้อเกาะ แล้วเจ้ามังกรก็อยู่ที่ลูก พระนาจาก็ขว้างงูเขียวออกมา เห็นเป็นเจ้าสมุทร แม่ทัพหลี่โกรธมากจึงดุด่าพระนาจา จนในที่สุด พระนาจาน้อยใจจึงแล่เนื้อคืนแม่ แล่กระดูกคืนพ่อ แล้วเข้าฝัน ให้แม่ทำ ศาลเพียงตาให้ แล้วลูกจะได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ แม่ทัพหลี่ก็ตามไปทำลายศาลเพียงตา พระนาจาโกรธมาก และคิดที่ จะฆ่าพ่อ

          บนสวรรค์จึงสั่งให้อาจารย์ของนาจา มาชุบชีวิตให้นาจา ด้วยรากบัว เหงาบัว ดอกบัว และ ก้านบัว ให้ทวน ล้อลม ล้อไฟ ให้นาจา

ตำนานที่สี่


          องค์เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาแต่ครั้งบุราณกาล สมัยปลายราชวงศ์เชียง ต้นรางวงศ์จิวมีจิวบุ้นอ้วงเป็นฮ่องเต้ ในยุคนั้นผู้ที่นับว่าเป็นอัจฉริยะมี "เกียงจื๋อเง้" หรือเกียงไท้กง และ "หน่าจาซาไท้จื้อ" องค์เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อเป็นบุตรคนที่ 3 ของแม่ทัพหลี่เจ๋ง กับนางฮิง บุตรคนโตชื่อ "กิมจา" และคนรองชื่อ "บักจา" มารดาตั้งครรภ์หน่าจาเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน จึงคลอด

          หลังจากคลอดแล้ว พระนาจาแทนที่จะเป็นเด็กทารกดั่งเช่นเด็กทั่วไป กลับเป็นก้อนเนื้อทรงกลม ๆ ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยเนื้อเยื่อและรกพันเต็มไปหมด ยังความตกใจและประหลาดใจแก่แม่ทัพหลี่เจ๋งและนางฮิง ผู้เป็นบิดา ด้วยความประหลาดดังกล่าว หลี่เจ๋งผู้เป็นบิดาจึงใช้กระบี่ฟันก้อนเนื้อ ปรากฏว่าภายในก้อนเนื้อนั้น เป็นเด็กทารกเพศชาย ซึ่งในมือขวาถือห่วงทองคำและรอบตัวพันด้วยผ้าแพรสีแดง ยังความปิติยินดีให้กับครอบครัว ขุนนางใหญ่น้อยได้มาแสดงความยินดีกับแม่ทัพหลี่เจ๋ง

          ในขณะนั้นมีนักพรตท่านหนึ่งมีนามว่า "ไท้อิกจิงยิ้ง" ซึ่งบำเพ็ญศีล ภาวนาอยู่ ณ ยอดเขาเคี่ยงง่วนซัวกิมกวงตัง  หรือปัจจุบันเรียกว่า "ไท้อิกติ่ง" มาร่วม แสดงความยินดีด้วย และเมื่อได้เห็นบุคลิกลักษณะของเด็กน้อยก็เกิดความชื่นชมพร้อมกับ ได้ชี้แจงให้แม่ทัพหลี่เจ๋ง และนางฮิงทราบว่า ห่วงทองและผ้าแดงที่ติดตัวมานั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้มีบุญญาบารมีสูง อีกทั้งได้รับตัวเด็กน้อยไว้เป็นศิษย์ และตั้งชื่อให้ว่า "หน่าจา" เพื่อถ่ายทอดวิชา


คุณธรรมพิเศษ

         1.เป็นเทพที่มีมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว
         2.มีความเสียสละและมีความกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นที่ตั้ง


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

          ชื่อเต็มของพระนาจาคือ จงตั๋นหง่วนโส่ย (เทพผู้เฝ้าประตูและคุมทหารสวรรค์) แต่คนจีนทางภาคใต้เรียกว่า ลี้โล่เฉี๊ย เทพองค์นี้ มีบทบาทสำคัญมาก ตามศาลเจ้าต่างๆ เพราะเป็นผู้คุมทหารในศาลเจ้า และดูแลพิธีกรรมต่างๆ ให้เป็นไป อย่างเรียบร้อย ลี่โล้เฉี๊ย เป็นหัวหน้าทหารธงเหลือง (อุ๋ยกี่) มีทหาร 33000 นายดูแลบริเวณราชวังสวรรค์

ปางต่าง ๆ ของพระนาจา

          รูปเคารพของพระนาจามีลักษณะยืนเหยียบล้อไฟ มือถือหอกอัคคีเป็นปางปกติ แต่จะมีปางเก้ามังกร และปางอื่น ๆ รวมถึง พระภาคอื่น ๆ ของพระนาจาด้วย



ข้อสำคัญในการบูชา  

          1.หากตั้งพระโพธิสัตว์ ให้ตั้งพระโพธิสัตว์ไว้ตรงกลาง
             เเละพระนาจาไว้ซ้ายหรือขวา
          2.บูชาพระนาจาเเล้ว ห้ามบูชาเทพอัญเจดีย์ทอง (ทัวต่า)
             เพราะพ่อลูกไม่ถูกกัน
          3.เเละห้ามบูชาเทพมังกร เพราะเป็นอริกัน


ขอขอบคุณ  http://group.wunjun.com/salekumarn/topic/448764-15607

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ฮก ลก ซิ่ว



ประวัติความเป็นมาของเทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว



ฮก ลก ซิ่ว อุดมคติแห่งความสุขในชีวิตชาวจีน

ความเชื่อและโลกทัศน์ของคนในแต่ละสังคมวัฒนธรรมย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพแวด ล้อมทางภูมิศาศาตร์ และพัฒนาการทางสังคมเฉพาะตน สำหรับชาวจีนแล้วความสุขสมบูรณ์ในชีวิตที่ยังเวียนว่ายในโลกโลกียะนั้น ประกอบด้วยสามประการ คือ ความมั่งคั่งร่ำรวย ความเจริญก้าวหน้า และความมีสุขภาพดีและมีอายุมั่นขวัญยืน ซึ่งจะปราฎกอยู่ในรูปสัญลักษณ์แทนคำอวยพร ทำให้ผู้เห็นรูปสัญลักษณ์ดังกล่าวได้ตระหนักถึงคำอวยพรดังกล่าวซึ่งเป็นสิริ มงคลในชีวิตของชาวจีน สัญลักษณ์ดังกล่าวก็คือ " ฮก ลก ซิ่ว" นั้นเอง

เรามักคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ "ฮก ลก ซิ่ว" ในรูปของมนุษย์ในวัยอาวุโส 3 คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮก ลก ซิ่ว ยังปรากฎอยู่ในรูปของสัญลักษณ์อื่น อีกมากมาย ทั้งรูปสัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติรอบตัวเรา




ชาวจีนรู้จักและยึดมั่นใจเรื่องของ ฮก ลก ซิ่ว มานานแล้ว ซึ่ง ฮก ลก ซิ่ว อาจแสดงออกด้วยภาพ สัตว์ ดอกไม้ หรือสิ่งของก็ได้ แต่หากเป็นภาพบุคคล ชาวจีนจะนับถือ ฮก ลก ซิ่ว เป็นเทพ 3 องค์ ซึ่งเชื่อกันว่าเทพ 3 องค์นี้สามารถประสิทธิ์ประสาทความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ และความยั่งยืน ชาวจีนเรียกเทพทั้ง 3 องค์นี้ว่า ฮกลกซิ่วซาแช

รูปสัญลักษณ์ดังกล่าว สามารถพบเห็นได้จากศิลปกรรมภายในวัดและศาลเจ้าจีน ในรูปแบบของศิลปะการตกแต่งและลวดลายต่างๆ ที่ประดับอยู่ตามอาคารศาสนสถาน ภาพจิตรกรรมฝาผนังและลวดลายเพดานของวิหารโบสถ์ รวมทั้งวัดไทยที่สร้างขึ้นด้วยรูปแบบทางสถาปัตยกรรมในแนวพระราชนิยมรัชกาล ที่ 3 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปกรรมจีน


ฮก    หมายถึง ความสุขที่ได้จากการสมปรารถนา ทั้งความร่ำรวยโดยโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นรูปเศรษฐีสวมหมวกเส้า มีผ้าคลุมไหล่ (แสดงถึงโภคสมบัติ) และอุ้มเด็ก (แสดงถึงบริวารสมบัติ) สัญลักษณ์อื่นๆ ที่มีความหมาย "ฮก" เช่น กวางดาว ผลทับทิม ดอกเบญจมาศ ลายคลื่น เป็นต้น


ลก   หมายถึง ความเจริญรุ่งเรื่อง ความมีโชคลาภวาสนาด้วยบุญบารมี มีฐานะมั่นคงและการงานที่ก้าวหน้ามั่นคง สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นขุนนางสวมหมวก ถือคทาหยู่อี่ในมือ ใบหูกวางแสดงถึงความมีบุญญาบารมีและวาสนา สัญลักษณ์อื่นๆ "ลก" เช่น ค้างคาว ดอกโบตั๋น หรือดอกพุดตาล ผลส้มมือ ลายกระจัง ลายคอเสื้อ เป็นต้น


ซิ่ว    หมายถึง การมีอายุมั่นขวัญยืน มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นรูปชายชราหนวดยาง มือถือไม้เท้าห้อยผลน้ำเต้า และมือถือลูกท้อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวสัญลักษณ์อื่นๆ ที่มีความหมาย "ซิ่ว" เช่น นกกระเรียน กา ต้นสน ลูกท้อ ลายประแจจีน เป็นต้น
ในหนังสือจวงจื่อตอนเต้าจื๋อกล่าวไว้ว่า อายุของคนในวัยชรานั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วง อายุยืนถึง 100 ปี เรียกว่า เจี่ยซิ่ว อายุถึง 80 ปี เรียกว่า จงซิ่ว และอายุถึง 60 ปี เรียกว่า เหี่ยซิ่ว


เรื่องของสิริมงคลก็คือเรื่องของ โชค ลาภ อายุยืน ซึ่งชาวจีนเรียกว่า ฮก ลก ซิ่ว

จากความหมายดังกล่าวมานี้ คำว่า ฮก ลก ซิ่ว จึงมีความหมายว่า มีบุญวาสนา มีตำแหน่งราชการสูง และอายุยืน

เทพฮก ลก ซิ่ว ไม่เคยปรากฎว่าได้รับการกราบไหว้หรือบูชาไว้ในศาลเจ้า หรือในบ้านแต่อย่างใด แต่จะตั้งไว้เป็นเพียงสิ่งประดับบ้านเท่านั้น เทพทั้ง 3 องค์นี้จะมีบทบาทอย่างจริงจังต่อความเชื่อของชาวจีนก็เพียงเป็นเทพประธานใน วันงานแซยิดเท่านั้น


ลักษณะของเทพทั้ง 3 องค์

-  ในสมัยโบราณ       ลักษณะของเทพทั้ง 3 องค์จะเป็นเช่นไรยังมิได้มีการค้นคว้า แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์เรื่อง "ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น" ได้กล่าวถึงลักษณะของเทพทั้ง 3 องค์นี้ว่า

ฮก เป็นรูปเจ้าหรือขุนนางสวมหมวก มีใบหูกางออกไป 2 ข้าง มีมือถือหยู่อี่ แสดงวาสนา

ลก เป็นรูปเศรษฐี สวมหมวกมีเสาข้างหลังสูง มีผ้าคลุมลงไปเบื้องหลัง แสดงโภคสมบัติ มือหนึ่งอุ้มเด็ก แสดงบริวารสมบัติ

ซิ่ว เป็นรูปชายแก่ ถือไม้เท้ามือหนึ่ง ถือผลท้อมือหนึ่ง แสดงความเป็นผู้มีอายุยืนและมั่นคง


-  ในปัจจุบัน     ลักษณะของเทพทั้งสามที่เห็นจากภาพในหนังสือหรือรูปปั้นตามร้านของ ชาวจีนนั้น เป็นดังนี้

ฮก เป็นรูปชายแก่ แต่งตัวเป็นเศรษฐี สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมสูง มือหนึ่งถือม้วนหนังสือ หรืออุ้มเด็ก เด็กจะถือหยวนเป่า และอีกมือของชายแก่ถือเห็ดหลินจือ

ลก เป็นรูปเจ้าหรือขุนนาง ใส่ชุดข้าราชการมีหมวกยศและเข็มขัด มือหนึ่งถือหยู่อี่หรือหยูอี้

ซิ่ว   เป็นรูปชายแก่ มือหนึ่งถือผลโถหรือผลท้อ อีกมือถือไม้เท้า


ขอขอบคุณ      http://www.oecschool.com/viewknowlage.php?noknowlage=25

รูปภาพจาก       www.tumsrivichai.com