วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 13)





พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง

ปางที่ 13 ซี ลี หม่อ ฮอ พัน ตอ ซา เม
(พระรูปเมษศีรษะเทพเจ้า)



..........พระโพธิสัตว์เล็งเห็นว่าชาวโลกถือเอาความรวย, มีชื่อเสียง, ศักดินา เป็นที่นิยมศรัทธา อันเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ พระองค์จึงเตือนจิตให้มนุษย์ จงผ่อนใจในทางโลก โน้มน้าวจิตใจมาในทางมรรคผล เมื่อจิตว่างแล้ว พระสัทธรรมอันพิสุทธิ์ก็จะเจริญขึ้น

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 12)




พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง

ปางที่ 12 นำ มอ นอ ลา กิน ซี
(พระไวโรจนพุทธเจ้า อันเป็นธรรมกาย)


.........ด้วยความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ ทรงย้ำเตือนให้ยึดถือพระไตรสรณาคมน์ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในมนุษยธรรม ทำตนเป็นตัวอย่างเพื่อให้สาธุชนรุ่นหลังได้รับรู้เป็นแบบอย่างและเจริญรอยตามสาธุชนผู้ปฏิบัติตามพระพุทธองค์และพระธรรมยิ่งต้องมีความเมตตากรุณาจิตและโพธิจิตเพื่อโปรดสัตว์ รักษาพระธรรมยิ่งกว่าชีวิตและเผื่อแผ่ทั่วไปไม่มีประมาณ

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 11)



พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


ปางที่ 11 ผ่อ ลู กิด ตี สิด ฮู ลา เลง ถ่อ พอ
(สัมโภคกาย แห่งพระไวโรจนะพุทธเจ้า)


..........ผู้ปฏิบัติต้องจงใจมุ่งไปข้าหน้า ฝึกฝนให้กายและจิตรวมเป็นหนึ่ง (เอกัคคตา)

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 10)




พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง

ปางที่ 10 นำ มอ สิด กิด ลี ตอ อี หม่ง ออ ลี เย
(พระนาคารชุนวัชราธรโพธิสัตว์)



.....ผู้ที่จะน้อบน้อมเข้าถึงองค์อริยะ จำต้องปฏิบัติธรรมโดยมานะพากเพียร มีจิตใจมั่นคงเป็นหนึ่ง จะกระทำโดยเร่งรีบไม่ได้ ต้องทำใจให้ว่างเข้าถึงองค์แห่งพระธรรมคัมภีร์ หมั่นในการปฏิบัติตามหลักธรรม มีความคิดดำริมั่นที่จะก้าวข้ามห้วงแห่งโอฆะ คิดจะกระทำประโยชน์แก่สรรพชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง (ปางที่ 9)




พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง

  ปางที่ 9   ซู ตัน นอ ตัน เซ
(ท้าวจตุโลกบาลเทวราช เสด็จพร้อมด้วยเทพเจ้าแห่งภูติปีศาจในบังคับบัญชา)


.....การปฏิบัติธรรมต้องถือความสัจเป็นพื้นฐาน ใช้ความเพียรเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสู่อริยสัจ


.....หากการปฏิบัติธรรมไม่ประกอบด้วยความสัจ ก็จะไม่พบหนทางสู่ความสำเร็จ เนื่องจากความสัจนั้นเป็นธรรมที่ปราศจากการหลอกลวง จิตจึงรวมเป็นหนึ่งได้ เมื่อมีความสัจ ก็จะมีความเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็จะมองเห็นความปลอดโปร่ง เมื่อปลอดโปร่งก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง และกลับกลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง( ปางที่ 8)




พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


  ปางที่ 8  สัต พัน ลา ฮัว อี
(ท้าวจตุโลกบาล โปรดพวกมาร ด้วยพระบารมี 6)



             องค์อริยะผู้อิสระ ผู้มีกายใจอันบริสุทธิ์สะอาด
กาย ใจ จะบริสุทธิ์ได้ ต้องตั้งอยู่ในสัจธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีล

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 7)




พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง

ปางที่ 7     งัน 
(ราชาแห่งเทพทั้งปวง )



งัน (โอม) – นอบน้อม

ขอนอบน้อม บูชาถวาย
แด่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความเมตตากรุณาไม่มีประมาณ นำสัทธรรมอันเป็นความดับสูญโดยแท้จริง ปลุกให้มนุษย์ฟื้นคืนสภาวะเดิมที่มีอยู่ เข้าถึงสัทธรรมอันบริสุทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 6)




พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


ปางที่ 6 หม่อ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย
(พระอัศวโฆษ)
.
.


 ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้มีมหากรุณาจิต

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 5)



พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


ปางที่ 5 : หม่อ ฮอ สัต ตอ พอ เย
(ทรงพัสตราภรณ์สีขาว)



.........เมื่อน้อมคารวะผู้กล้าหาญก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้น มวลสรรพสัตว์ในโลกอันไพศาล ถ้ารู้สึกตัวแล้วลงมือปฏิบัติ ล้วนถึงความหลุดพ้นได้

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 4)



พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


ปางที่ 4 : ผู่ ที สัต ตอ พอ เย
(พระอมงบาศโพธิสัตว์)





 ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้ให้ความตรัสรู้แก่ทุกชีวิต


หากตั้งใจในธรรม นอบน้อมต่อความแจ้งในสภาวะเดิม ก็จะถึงความหลุดพ้น

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 3)



พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


ปางที่ 3 : ผ่อ ลู กิด ตี ซอ ปอ ลา เย
(พระอวโลกิเตศวรปางอุ้มบาตร)



ขอนอบน้อมคารวะแด่องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้เพ่งเสียงแห่งสรรพสัตว์ผู้ยาก



พระโพธิสัตว์ผู้สงสารชีวิตแห่งสรรพสัตว์ผู้ตกอยู่ในกองทุกข์ เขาเหล่านั้นล้วนมีความทุกข์อันเกิดจากการหลงลืมสภาวะเดิมของตน จำต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ พระองค์พิจารณาตามนี้ จึงเกิดเมตตาจิตที่จะโปรดสัตว์

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 2)



พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง



ปางที่ 2 : นำ มอ ออ ลี เย
(พระจินดามณีจักรอวโลกิเตศวร ถือ ธรรมจักร) 



ขอนอบน้อมนมัสการแด่องค์พระอริยะ ผู้ห่างไกลจากบาปอกุศล

พระโพธิสัตว์ทรงสั่งสอนชาวโลกให้ปฏิบัติทางจิตเป็นมูลฐาน พระสัทธรรมทั้งหลายล้วนกำเนิดมาแต่จิต


           เหตุนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความชัดแจ้งแห่งจิต และมองเห็นสภาวะแห่งตน จึงจะสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

           เมื่อไม่แจ้งชัดในจิตก็ไม่สามารถเห็นสภาวะแห่งตน หากแต่จิตเป็นอจล มีความมั่นคง ก็สามารถเดินทางสู่พระนฤพานได้

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง(ปางที่ 1)



พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ 84 ปาง


      ปางที่ 1 : นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เหย่ เย   (พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ถือลูกประคำ)




ขอนอบน้อมนมัสการพระไตรรัตน์ทั้งสาม


หมายถึง   การน้อมเอาพระไตรสรณคมน์, พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกผู้ต้องการปฏิบัติให้ถึงพระองค์จะต้องสาธยายมนตราด้วยความมีเมตตากรุณาและเปี่ยมด้วยศรัทธา

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

เจ้าแม่หนี่วา:女媧 (เทพมารดาแห่งชาวจีน)



เจ้าแม่หนี่วา:女媧 (เทพมารดาแห่งชาวจีน)

           



          เทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ในยุคดึกดำบรรพ์ตามความเชื่อของชาวจีนนั้นมีชื่อว่า “เจ้าแม่หนี่วา” หรือ “เจ้าแม่นึ่งออ” ย้อนไปเมื่อโลกและสวรรค์ถูกสร้างเสร็จแล้วนั้น เจ้าแม่หนี่วาได้อภิเษกกับเทพฝูชี พอครั้นเทพฝูชีออกไปทำภารกิจข้างนอก เจ้าแม่หนี่วาก็เหงาจึงเสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ซึ่งมีบรรยากาศที่งดงามแต่ว่ากลับเงียบเหงาเช่นกัน เจ้าแม่จึงหยิบดินเหนียวขึ้นมาปั้นเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงกลุ่มหนึ่งพร้อมทั้งประทานชีวิต และนำเม็ดทรายมาติดเป็นตา เขียนปาก เจาะรูหูให้ เจ้าแม่ทรงเห็นว่ากว่าตนเองจะปั้นเสร็จแต่ละคนนั้นใช้เวลานานมาก จึงนำเส้นด้ายจุ่มดินเหนียวแล้วสบัด เศษดินเหนียวเหล่านั้นก็ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ด้วยความไม่ปราณีตทำให้มนุษย์ที่เกิดออกมานั้นพิการบ้าง หน้าตาน่าเกลียดบ้างตามความเชื่อชาวจีน ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้นบนโลก (บางตำนานกล่าวว่ามนุษย์เป็นลูกของเทพฝูชีและเจ้าแม่หนี่วา) ครั้งที่เกิดเหตุการณ์ฟ้ารั่ว เจ้าแม่หนี่วาก็เป็นผู้หลอมหินห้าสีเพื่อนำไปอุดรูรั่วของฟ้าด้วย

             อย่างที่กล่าวไปว่าเทพเจ้าของจีนนั้นมักจะเป็นมนุษย์ธรรมดามาก่อน ไม่บำเพ็ญเพียรก็ประกอบคุณความดีใหญ่หลวง เมื่อตายไปผู้คนก็ยกย่องให้เป็นเทพ เจ้าแม่หนี่วาก็เช่นกันที่ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารจีนและคำภีร์ไคเภ็ก ว่ามีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์เป็นน้องสาวร่วมมารดาของ “ฮกฮีลีฮ่องเต้ (ฝูซี)” ซึ่งตรงกับตำนานแต่ก็ไม่ได้เป็นชายาของฮ่องเต้ พอฮกฮีลีฮ่องเต้สวรรคตแล้ว เจ้าแม่หนี่วาก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หญิงคนแรกนามว่า “พระนางนึ่งฮอสีฮ่องเต้” พระนางได้ปกครองประชาชนอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ภารกิจที่เป็นตำนานคืออุดรอยรั่วของฟ้า แต่อันที่จริงคืออุดรอยร้าวของภูเขาปุดจิวซัว (รอยร้าวนั้นเกิดขึ้นตอนที่พระนางให้จอกเอียสีไปปราบกบฎขุนนางคังฮวย โดยการจับคังฮวยฟาดหัวกระแทกกับภูเขาปุดจิวซัว จนเกิดรอยร้าว) ลมหนาวนั้นได้เข้ามาตามรอยร้าวทำให้ประชาชนตกอยู่ในความหนาวเย็น พระนางจึงหาวิธีแก้โดยนำหิน 5 สีมาหลอมเป็นเวลา 49 วันแล้วเอาไปอุดตรงรอยร้าวความหนาวเย็นจึงสลายไป ว่ากันว่านางปกครองประชาชนถึง 900 ปีเลยทีเดียว

หลี่ฮู้บกเฉี้ย (李府木吒)



หลี่ฮู้บกเฉี้ย (李府木吒)



.........หลี่ฮู้บกเฉี้ย (李府木吒), หยี่ไท้จื้อ (二太子) (มู้จา หรือ บักจา) อาบวุธประจำกาย: หอกและดาบ (บางที่ก็จะถือลูกตุ้มคู่ หรือ บางที่ก็จะถือกระบี่และนิ้ว หรือบางที่ไม่ถืออะไรเลยก็มี ชูสองนิ้วชี้ฟ้า ชี้ดิน)


..........ท่านถือกำเนิดสมัยพระเจ้าซ้งโจว บิดาคือ หลี่จิ้ง (李靖) หรือ หลี่เทียนอ๋อง (李天王) มารดาคือ นางอิ๋นซื่อ มีพี่ชายคือ หลี่ฮู้กิมเฉี้ย(李府金吒) และน้องชายคือ หลี่โลเฉี้ย(李哪吒) ทั้งสามรับราชการอยู่กับบิดาที่เมืองฉาเกอ ท่านหลี่จิ้งส่งบกเฉี้ยไปศึกษาวิชาการที่สำนักอาจารย์เต้าหยินชื่อ เผาเหียนจินหยิน (普賢真人) ที่ภูเขาจิ่วหลงซาน ภายหลังได้ช่วยเมืองซีกี (ราชวงศ์โจว) ที่ปกครองโดยธรรม โค่นราชวงศ์ซางลง(ปราบนางต๋าจีซึ่งเป็นนางจิ้งจอกพันปี ที่มอมเมาฮ่องเต้) โดยภายหลังที่สงครามสงบลง ท่านปฎิเสธรับตำแหน่งทางการทหารและกลับไปบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียน เช่นเดียวกับบิดาและพี่น้อง

ฮ้อเอี๋ยเจียงกุน


ฮ้อเอี๋ยเจียงกุน



..........หู่เย๋ หรือ ฮ้อเอี้ย หรือ เจ้าเสือ ท่านถือเป็นบริวารของเทพ ฝูเต๋อเจิ้งเสิน หรือฮกเต็กเจียซิ้ง
โดยฮ้อเอี้ยเป็นเทพ ประเภทเจ้าที่ประเภทหนึ่ง มีหน้าที่คอยดูแลศาลเจ้า (อ๊าม)


..........คนสมัยก่อนเชื่อกันว่า ท่านจะเอ็นดูเด็กเป็นพิเศษ ว่าถ้าเด็กคนไหน ขี้โรคเลี้ยงยาก
ก็จะพาไปศาลเจ้าแล้วไหว้ท่านยกเด็กคนนั้นให้เป็นลูกบุญธรรมของท่าน เพื่อให้ท่านช่วยคุ้มครอง
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าท่านยังเป็นเทพที่สามารถอำนวยลาภผลได้ โดยกล่าวกันว่าพวกมีวิชา
จะเอากระดาษเงินกระดาษทองไปไหว้ท่าน เพื่อเปลี่ยนจากเงินคนตายให้กลายเป็นของคนเป็น
โดยรูปเคารพก็จะเป็นรูปเสือปกติ แต่วางรูปเคารพไว้ติดพื้น


..........ในเมืองไทยอาจจะไม่ค่อยพบเห็น แต่อาจจะมีในศาลเจ้าที่มีอายุเก่าแก่ซึ่งยังอาจจะพบเห็นได้
แต่ตามบ้านเรือนไม่พบเห็น ไม่ค่อยมีใครนำมาบูชาตามบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

แม่ทัพสวรรค์ทั้ง 5 หรือโหงวเอี๊ยซิ้งเปีย (五營神兵)



แม่ทัพสวรรค์ทั้ง 5 หรือโหงวเอี๊ยซิ้งเปีย (五營神兵)


1. ทิศตะวันออก ทัพซ้ายมีชื่อว่าทัพจิ่วอี้ มีนายพลคือ หลุยจินจู๊ (เทพลุ่ยกง) คุมทหาร 99000 นาย โดยใช้ธงเขียวธาตุไม้เป็นสัญลักษณ์
2. ทิศใต้ ทัพหน้ามีชื่อว่าทัพปาหมาน มีนายพลคือ อึ่งปวยฮ้อ 
คุมทหาร 88000 นาย โดยใช้ธงแดงธาตุไฟเป็นสัญลักษณ์
3. ทิศตะวันตก ทัพขวามีชื่อว่าทัพลิ่วหลง มีนายพลคือ เอียวเจี้ยน (เทพเอ้อหลาง) คุมทหาร 66000 นาย โดยใช้ธงขาวธาตุทองเป็นสัญลักษณ์
4. ทิศเหนือ ทัพหลังมีชื่อว่าทัพอู๋ตี้ มีนายพลคือ โทเฮงสุน
คุมทหาร 55000 นาย โดยใช้ธงดำธาตุน้ำเป็นสัญลักษณ์
5. ทัพตรงกลาง มีชื่อว่าทัพซันไท มีนายพลคือ หลีโล่เฉี้ย
(เทพนาจา) คุมทหาร 33000 นาย โดยใช้ธงเหลืองธาตุดินเป็นสัญลักษณ์

องค์กิ้วเที้ยนเฮี้ยนลื้อ九天玄女



"องค์กิ้วเที้ยนเฮี้ยนลื้อ九天玄女"



ในฐานะที่ระบุว่าทรงเป็นผู้ประทานกำเนิดแห่งราชวงศ์ซาง คือ มีหญิงสาวคนหนึ่งนาม เจียนตี๋ วันหนึ่งเธอไปเดินเล่นริมทะเล นกนางแอ่นสีดำตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นและไข่ให้เธอกิน ก่อนที่จะบินลับขอบฟ้าไป เมื่อเจียนตี๋ได้กินไข่นกนั้นเข้าไปเธอจึงตั้งครรภ์ และได้ให้กำเนิดองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซาง โดยกล่าวไว้ว่านกนางแอ่นสีดำคือองค์กิ้วเที้ยนเฮี้ยนลื้อ

หลี่ฮู้กิมเฉี้ย (李府金吒)



หลี่ฮู้กิมเฉี้ย (李府金吒) 




หลี่ฮู้กิมเฉี้ย (李府金吒) หรือ หลี่กิมเฉี้ย หรือ กิมจา

อาวุธประจำกาย ดาบคู่ หรือ ดาบและถือเจดีย์ของบิดา

..........ท่านถือกำเนิดสมัยพระเจ้าซ้งโจว บิดาคือ หลี่จิ้ง (李靖) หรือ หลี่เทียนอ๋อง (李天王) มารดาคือ นางอิ๋นซื่อ มีน้องชายสองคน คือ หลี่ฮู้บกเฉี้ย (李府木吒) (มู้จา) และ หลี่โลเฉี้ย (李哪吒) (นาจา)


..........ทั้งสามรับราชการอยู่กับบิดาที่เมืองเฉาเกอ ก่อนเปลี่ยนไปสนับสนุนราชวงศ์โจวเพราะฮ่องเต้เมืองเฉาเกอ มิได้ปกครองประเทศโดยธรรม ลุ่มหลงนางจิ้กจอก ต้าจี สร้างสระน้ำที่ทำจากสุรา มีต้นเนื้อ แขวนผลไม้และเนื้อสัตว์ คอยหาแต่ความสุข ไม่สนใจประชาชน ให้สร้างเสาทองแดง โดยจะเผาให้ร้อนก่อนเอามนุษย์มานาบมัดกับเสาด้วยความทุกข์ทรมาน และในที่สุดได้ช่วยเมืองซีกีปราบเมืองเฉาเกอสถาปณาพระเจ้าโจวอู่หวัง

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

ตี่ฮู้อ๋องเอี๋ย



ตี่ฮู้อ๋องเอี๋ย


.........ตี่ฮู้เชี่ยนโส่ย มีชื่อเดิมคือ ตี๊เมิ่งเปียว (池夢彪) เป็นชาวทิ่งลิ้ว (陳留) เป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดและมีพรสวรรค์ มีบุคลิกเป็นคนซื่อตรงเปิดเผย รับหน้าที่เป็นครูผู้ฝึกทหารอย่างเข้มงวดดุดัน แต่ยามศึกสงครามเป็นขวัญกำลังใจและเป็นที่พึ่งดุจดังเทพของเหล่าทหารเนื่องจากได้ช่วยเหลือจักรพรรดิถังบุกเบิกประเทศ จึงให้เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการสภาบริหารกองทัพ และ ในปี พ.ศ.1186 ได้รับใช้ใกล้ชิดกับจักรพรรดิไท้จง โดยรับตำแหน่งเป็นแม่ทัพในการเกณฑ์ทหารไปยังประเทศเกาหลี


.........ตี่ฮู้อ๋องเอี๋ยเป็นเทพผู้มีความศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมด้วยความเมตตา เนื่องจากประวัติเล่าขานกันมาว่าตี่ฮู้อ๋องเอี่ย ได้เจอเทพแห่งโรคระบาด ซึ่งองค์เง็กเซียนได้สั่งการให้ลงมายังโลกเพื่อทำให้เกิดโรคระบาดแก่พื้นที่ที่ถูกพิพากษา โดยเทพแห่งโรคระบาดได้แปลงกายมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม เมื่อเข้าไปในเมืองเทพแห่งโรคระบาดได้เจอกับตี่เมิ่งเปียว และได้สนทนาจนพูดคุยกันถูกคอ จึงชักชวนกันดื่มเหล้า


.........หลังจากเทพแห่งโรคระบาดได้ดื่มเหล้าเข้าไปสักพักใหญ่ก็เกิดรูสึกมึนเมา จึงได้เปิดเผยว่าตนลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำให้เกิดโรคระบาดโดยกล่าวออกมาว่า “ ต้องใช้วิธีการอย่างไรดีนะที่จะทำให้พิษที่เตรียมมานี้ แพร่ระบาดและกระจายอย่างรุนแรง?” พูดพลางพร้อมกับหยิบยาพิษออกมาจากถุงเล็กๆ แล้วพูดว่า”พรุ่งนี้จะลงมือแพร่กระจายโรคระบาดแก่เหล่ามนุษย์ด้วยพิษในถุงนี้” ตี่ฮู้รู้สึกสงสารมนุษย์มาก กลัวว่ามนุษย์จะได้รับภัยพิบัติครั้งนี้ จึงกล่าวว่า “นั่นยาวิเศษหรือ ขอข้าดูหน่อยจะได้ไหมสหาย” เทพแห่งโรคระบาดจึงกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะสหาย“ ว่าพลางพร้อมกับยื่นยาพิษให้ ตี่เมิ่งเปียวจึงนำยามาถือไว้ในมือ ด้วยใจที่นึกสงสารมนุษย์จึงตัดสินใจกลืนยาพิษลงไปในปาก ทันใดนั้นเองพิษได้แพร่ซ่านออกฤทธิ์ทันที กายทั่วร่างรับพิษจนกลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาทั้งสองปูดโปนออกมา และสิ้นใจลง ผู้คนเมื่อทราบว่า ท่านผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวเมืองได้เสียชีวิตลง ก็โศกเศร้าเสียใจกันทั้งเมือง


.........ขณะนั้นเองวิญญาณของตี่ฮู้ได้เห็นองค์เง็กเซียน ซึ่งพระองค์เห็นความรู้สึกซึ่งสำนึกในความเมตตาสงสารและช่วยเหลือมนุษย์จากภัยครั้งนี้ จึงแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนสวรรค์คอยตรวจตราพิทักษ์ปกป้องโลก (代天巡狩โถ่ยเทียงซุ้งซิ่ว) มีหน้าที่ควบคุมและกำจัดโรคระบาด ในนาม ยี่อ๋องตี่ฮู้เชี่ยนโส่ย (二王池府千歲) นอกจากนี้ผู้คนต่างกราบไหว้และยังนับถือให้เป็นเทพแห่งยุทธศาสตร์ (god of the strategy)

หงอฮู้อ่องเอี๋ย



หงอฮู้อ่องเอี๋ย



..........หงอฮู้เชี่ยนโส่ย มีนามเดิมว่า หงอเสี้ยวควาน (吳孝寬) เป็นชาวกังโซวหงอเชียน (江蘇吳縣) ได้ศึกษาศาสตร์ ฮวงจุ้ยอย่างแตกฉาน สามารถสังเกตดวงดาวเมื่อออกรบได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากช่วยจักรพรรดิถังบุกเบิกประเทศและ สามารถสอบแข่งขันข้อสอบหลวงระดับสูงได้เป็นผู้สำเร็จราชการ จึงได้รับราชการโดยมีหน้าที่เป็นผู้ว่าการรัฐ และเป็นที่ปรึกษาระดับสูงขององค์จักรพรรดิถังในการสอนประชาชนทำเขื่อนกั้นน้ำ สร้างทำนบเพื่อแก้ปัญหายามเกิดภัยแล้ง เป็นผู้นำทางและให้คำแนะนำเรื่องพื้นที่จัดสรรน้ำแก่ชาวบ้าน โดยไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก


..........เมื่อสิ้นอายุขัย ได้กลายเป็นเทพ และ เนื่องจากความดีของท่านได้ทราบถึงองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พระองค์จึงทรงโปรดเกล้า แต่งตั้งให้มีหน้าที่เป็นตัวแทนสวรรค์คอยตรวจตราพิทักษ์ปกป้องโลก หรือ โถ่ยเทียงซุ้งซิ่ว (代天巡狩) คอยคุ้มครองการเดินทางโดยเรือของฮ่องเต้ ควบคุมและกำจัดโรคระบาด ในนาม ซาอ๋องหงอฮู้เชี่ยนโส่ย (三王吳府千歲) นอกจากนี้ผู้คนต่างกราบไหว้และยังนับถือให้เป็นเทพแห่งความกล้าหาญ (god of the gallant)


..........ในบรรดาห้าพี่น้องมีแต่หงอฮู้อ่องเอี๋ยเท่านั้นที่ไม่มีเครา (五兄弟中只有吳府三王爺沒有留鬍鬚)

กวนอู



เทพเจ้ากวนอู


..........กวนอู 關羽 นายพลนักรบของพระเจ้าเล่าปี่หรือหลิวเป่ยที่เป็นที่รู้จักกันดีในพงศาวดารเรื่อง สามก๊ก กวนอูได้รับยกย่องให้เป็น พระสังฆารามโพธิสัตว์หรือ เฉ๋ะหลานผูซ่า伽藍菩薩หรือ กวนเซิ้งตี้จวิน 關聖帝君หรือกวนตี้ หรือ เหม่ยหลานกงและพระนามอีกหลายพระนาม เป็นเทพเจ้าองครักษ์สวรรค์องค์หนึ่งเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งเป็นองครักษ์ของพระกวนอิมโพธิสัตว์ด้วย ดังนั้นด้านหน้ารูปพระกวนอิมบางแห่ง จะเห็นขุนพลนายทหารองครักษ์สององค์ซ้ายขวา คือ เหวยถัวผูซ่าและเฉ๋ะหลานผูซ่า มีอาวุธประจำกายคือง้าว

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

จูฮู้เชี่ยนโส่ย



จูฮู้เชี่ยนโส่ย



..........จูฮู้เชี่ยนโส่ย ชื่อเดิม จูซูหรง(朱叔裕) เป็นชาวเกียเฮ็ง (嘉興) เป็นผู้สุขุมคงแก่เรียน ได้เป็นผู้วางแผนและออกกฎหมายในพระราชสำนัก โดยเฉพาะมีใจความยุติธรรม สามารถตัดสินโดยชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างถูกและผิด ยึดถือกฎหมายอย่างเข้มงวด ขณะช่วงที่จักรพรรดิถังกำลังบุกเบิกประเทศ ครั้งหนึ่งได้รับคำสั่งให้ป้องกันเมือง โดยต่อสู้กับศัตรูที่มาตีเมืองในช่วงปีพ.ศ.1166 ได้เป็นผู้สั่งการกองทัพไปยังเมืองก้วงโจว (廣州) และเป็นผู้สั่งให้ทำกำแพงเพื่อป้องกันเมือง โดยเฉพาะวัดต้าลี่เพื่อปกป้องข้าศึก ซึ่งแสดงถึงความเคารพเลื่อมใสในศาสนา

..........เมื่อสิ้นอายุขัย ได้กลายเป็นเทพ และ เนื่องจากความดีของท่านได้ทราบถึงองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พระองค์จึงทรงโปรดเกล้า ให้มีหน้าที่เป็นตัวแทนสวรรค์คอยตรวจตราพิทักษ์ปกป้องโลก หรือ โถ่ยเทียงซุ้งซิ่ว (代天巡狩) คอยคุ้มครองการเดินทางโดยเรือของฮ่องเต้ ควบคุมและกำจัดโรคระบาด

หลี่ฮู้เชี่ยนโส่ย



หลี่ฮู้เชี่ยนโส่ย



..........ชื่อเดิมคือ หลี่ ต้าเหลียง (李大亮) เป็นชาวเก็งเอี๊ยง (涇陽) เก่งทั้งบู๊และบุ๋น เป็นผู้นำซึงใหญ่ที่สุดในห้าพี่น้อง เพราะได้ช่วยเหลือในการบุกเบิกประเทศ จักรพรรดิถังทรงปูนบำเหน็จรางวัลโดยให้ไปกินเมืองกิมโจว (金州) จากนั้นในอีกไม่กี่ปีต่อมา ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการคุมทัพที่เมืองเลี้ยงโจว (涼州) ซึ่งคอยรักษาเมืองและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของราชทูต



...........ในสมัยราชวงศ์ถัง ช่วงประมาณ พ.ศ. 1177 หลี่ต้าเหลียงได้คุมทัพไปทำศึกกับนักรบชนเผ่าทาทา จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1184 จึงตีข้าศึกแตกพ่ายแพ้ราบคาบโดยใช้เวลาเกือบ 7 ปี


...........หลี่ต้าเหลียงสมัยอยู่ในพระราชสำนักนั้น ถึงแม้ท่านเป็นทหารผู้ยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง แต่ก็คอยช่วยเหลือพวกพ้องดั่งกับ ที่ท่านคอยรับใช้ดูแลพ่อแม่ที่บ้าน ท่านเป็นที่พึ่งและเป็นที่รักยิ่งของคนทั่วไป จึงเป็นผู้ซึ่งเปรียบเสมือนทั้งนักบุญและนักปราชญ์ให้ผู้อื่นพึ่งพาอย่างสมบูรณ์แบบ



..........เมื่อสิ้นอายุขัย ได้กลายเป็นเทพ และ เนื่องจากความดีของท่านได้ทราบถึงองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พระองค์จึงทรงโปรดเกล้า ให้มีหน้าที่เป็นตัวแทนสวรรค์คอยตรวจตราพิทักษ์ปกป้องโลก หรือ โถ่ยเทียงซุ้งซิ่ว (代天巡狩) คอยคุ้มครองการเดินทางโดยเรือของฮ่องเต้ ควบคุมและกำจัดโรคระบาด ในนาม ไต่อ๋องหลี่ฮู้เชี่ยนโส่ย (大王李府千歲) นอกจากนี้ผู้คนต่างกราบไหว้และยังนับถือให้เป็นเทพแห่งความยุติธรรม และ มนุษยธรรม (god of the justice and humanity)

เหวยถัวผูซ่า หรือ สกัณฑะ



เหวยถัวผูซ่า หรือ สกัณฑะ


..........เหวยถัวผูซ่า 韋馱菩薩หรือ เหวยถัว หรือ สกัณฑะ หรือ เหวยต้า หรือ เหวยต้าเทียน 韋駄天หรือเหวยถัวจวินเทียนผูซ่า ซึ่งเป็นผู้ที่อุทิศตนทำงานหนักมาก จนได้รับยกย่องให้เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ปกป้องอีกองค์หนึ่ง สกัณฑะ หรือเหวยถัวผูซ่า เป็นนายพล องค์หนึ่งใน ๒๔ องค์ผู้เฝ้าสวรรค์ และเป็นนายพลองครักษ์องค์หนึ่งของพระกวนอิม มีอาวุธคือวัชระ

..........กล่าวกันว่าเดิม เหวยถัวเป็นนายพลของท่านอ๋องพระบิดาขององค์หญิงเมี่ยวซ่าน เขาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อและหลงรักองค์หญิงเมี่ยวซ่าน แต่คิดว่าคงไม่มีโอกาสแน่นอนชั่วชีวิตนี้ จึงได้แต่หลงรักพระนางข้างเดียว แต่เขาเห็นพระนางมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย เขาจึงเฝ้าติดตามและคอยช่วยเหลือพระนาง ภายหลังจากที่ทั้งสองได้หนีพระบิดาไปยังเกาะแห่งหนึ่งแล้วสร้างวัดให้พระนาง แต่พระบิดาตามพบแล้วให้กองทหารไปฆ่าเสียทั้งสองคน


..........อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระนางถูกย่ารับสั่งให้ประหารด้วยการให้กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย เพราะเชื่อว่าพระนางเป็นพวกภูตผีปีศาจ ท่านอ๋องรับสั่งให้นายพลหลัวผิงแกล้งนำนางทิ้งลงในทะเล แล้วนำพระนางพร้อมด้วยนางอินหม่ามารดาของเหวยถัวไปพักย้งตำบลแห่งหนึ่ง หลายปีผ่านไป ปีศาจปลาตนหนึ่งไม่ชอบเชื้อพระวงศ์นี้ จึงให้นายทหารปีศาจชื่อหัวอี้ไปฆ่านางเสีย เพื่อแก้แค้นด้วยนางนับถือพระเชอหางต้าซือ เทพทางพุทธศาสนาองค์หนึ่งที่เคยนำนางไปไว้ในสระบัว หัวอี้จึงยกทัพไปยังหมู่บ้านที่พระนางเมี่ยวซ่านและนายพลเหวยถัวอยู่ ต่างสู้รบกัน บุตรของหัวอี้ฆ่าเหวยถัว หลังจากที่พระนางเมี่ยวซ่านเป็นพระโพธิสัตว์แล้วจึงยกเหวยถัวเป็นพระโพธิสัตว์องครักษ์ และนับถือพระนางเป็นน้องสาว

..........สกัณฑะเป็นนายพลทหารหนุ่มหน้าตาดี สวมชุดเสื้อเกราะชุดนายพลถือวัชราวุธ บางครั้งจะเห็นเป็นรูปพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ หรือเป็นเทพองค์หนึ่ง วันแซยิดคือวันที่ ๓ ค่ำเดือน ๖

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

หวมฮู้เชี่ยนโส่ย



หวมฮู้เชี่ยนโส่ย


..........หวมฮู้เชี่ยนโส่ย ชื่อเดิม (ฟั้นเฉิงเย่ 范承業) เป็นชาว กังโซวหงอเชียน เหมือนซาอ๋องหงอฮู้เชี่ยนโส่ย เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กล้าหาญมีหัวรุนแรงที่สุดในกลุ่มห้าพี่น้อง ครอบครัวมีฝีมือด้านการปรุงยา ซึ่งช่วยเหลือผู้คนให้รอดตายอยู่หลายครั้ง มีความชอบโดยได้กำจัดเปาดั๋งซึ่งเป็นโจรร้ายสมัยนั้น และได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิถังให้คุ้มครองราชทูต ได้สอบผ่านข้อสอบหลวงระดับสูงโดยอันดับ 7 จึงรับราชการตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม



..........เมื่อสิ้นอายุขัย ได้กลายเป็นเทพ และ เนื่องจากความดีของท่านได้ทราบถึงองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พระองค์จึงทรงโปรดเกล้า ให้มีหน้าที่เป็นตัวแทนสวรรค์คอยตรวจตราพิทักษ์ปกป้องโลก หรือ โถ่ยเทียงซุ้งซิ่ว(代天巡狩) คอยคุ้มครองการเดินทางโดยเรือของฮ่องเต้ ควบคุมและกำจัดโรคระบาด ในนาม โหงวอ๋องหวมฮู้เชี่ยนโส่ย (五王范府千歲)

เตียวฮู้อ๋องเอี๋ย



เตียวฮู้อ๋องเอี๋ย


..........บู้อันจุนอ๋อง (武安尊王) หรือ ตูเทียนไต่เต่ (都天大帝) หรือ โปอี๋จุนอ๋อง (保儀尊王) หรือ เตียวฮู้เชียนโส่ย หรือ เตียวฮู้อ๋องเอี๋ย (張府千歲, 張府王爺) มีชื่อจริงว่า เตียวซุ่น (張巡) เกิดในสมัยราชวงศ์ถัง ประมาณปี ค.ศ.708 (生于唐朝中宗年間) ณ บ้านหย่งจี๋ มณฑลซานซี (家鄉於山西省永濟)


..........ปี ค.ศ. 713 เตียวซุ่นสอบเข้ารับราชการในราชสำนักถัง และได้ทำงานเป็นข้าราชการในส่วนการให้การศึกษาแก่รัชทายาท จนถึงปี ค.ศ. 741 (任職太子通事舍人)

..........ปี ค.ศ. 742 เตียวซุ่น ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานปกครอง ณ บ้านชิงเหอ มณฑลเหอเป่ย (被派任為河北省清河縣令) ในช่วงที่ท่านอยู่ที่เหอเป่ย ท่านได้สร้างความดีความชอบ ช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามกลุ่มคนอันธพาล และโจรผู้ร้าย เป็นอันมาก


..........ปี ค.ศ. 755 เตียวซุ่นกลับเข้ารับใช้ราชสำนัก ซึ่งในขณะนั้น ฮ่องเต้ถังเสวียนจง (唐玄宗) ซึ่งมัวเมากับหยางกุ้ยเฟย ยอดหญิงงามแห่งยุคนั้น โดยให้งานในราชสำนักตกอยู่ในความดูแลของ หยางกั๋วจง (楊國忠) ซึ่งเป็นพี่น้องกับหยางกุ้ยเฟยนั้นเอง ข้าราชการในวังหลวงที่ต้องการเลื่อนตำแหน่งจะต้องเข้าไปติดสินบนหยางกั๋วจง เตียวซุ่นนั้นก็ได้รับการแนะนำให้เข้าไปพบหยางกั๋วจงเพื่อล็อบบี้ขอตำแหน่ง แต่ท่านปฏิเสธและแสดงความรังเกียจขุนนางกังฉินผู้นี้อย่างออกหน้าออกตา จนหยางกั๋วจงไม่พอใจ ปลดตำแหน่งของท่านและไล่ออกจากวังไป


..........ต่อมาไม่นานนัก เกิดเหตุการณ์กบถอันลู่ซาน (安祿山) จนถังเสวียนจงต้องระเหดออกจากวัง และราชสำนักได้คืนตำแหน่งราชการให้เตียวซุ่นเพื่อให้ท่านมาช่วยปราบกบถ

..........ปี ค.ศ. 757 ขณะที่ท่านทำการสู้รบอยู่นั้น ท่านได้ถูกข้าศึกล้อมไว้หมดทางหนี ท่านได้ส่งทหารไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะฝ่ายทหารนั้นโดนพวกกังฉินของหยางกั๋วจงกุมอำนาจอยู่ ทำให้ท่านต้องต่อสู้โดดเดี่ยวด้วยตัวเอง

..........ปี ค.ศ. 757 ขึ้น 9ค่ำ เดือน 10จีน (農曆十月初九日) เตียวซุ่นได้สละชีพปกป้องบ้านเมืองในขณะที่ทำการต่อสู้กับพวกกบถ พร้อมกับนายทหารที่ติดตามไปกับท่าน เช่น ซิวหยวน (許遠 - 許府千歲), หนานฉีหยวน (南齊雲 - 南府千歲) และ เหล่ยหว่านชุน (雷萬春 - 雷府千歲) ก็เสียชีวิตทั้งหมด

..........จากวีรกรรมอันกล้าหาญ ความดีที่รับใช้ชาติของคนทั้งสี่ ทำให้ชาวบ้านสักการะบูชาทั้งสี่เป็นเทพเจ้า และหลังจากที่ทั้งสี่เสียชีวิต วิญญาณของทั้งสี่ก็ไปสู่สรวงสวรรค์ (天庭) และได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพเจ้า (上天敕封)

หลงหนิ่ว



หลงหนิ่ว




..........หลงหนิ่ว 龍女 เป็นศิษย์อีกองค์หนึ่งของพระกวนอิม เรื่องตำนานมีอยู่ว่า ภายหลังจากที่ซ่านฉายได้เป็นศิษย์แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์ยุ่งเหยิงขึ้นในบริเวณทะเลจีนใต้ จากตำนานดังนี้

..........ยังมีโอรสองค์หนึ่งของพญามังกรทะเลตงไห่ ซึ่งก็คือตงไห่หลงหวาง โอรสองค์หนึ่งของพระองค์ได้แปลงกายเป็นปลาตัวใหญ่แหวกว่ายไปในทะเลกว้างใหญ่ด้วยความสนุกสนาน แต่บังเอิญไปติดอวนของชาวประมงเข้า ซึ่งองค์ชายวัยเด็กสามารถที่จะแปลงกายเป็นมังกรได้ แต่ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นว่า พวกมนุษย์จับปลาไปแล้วจะทำอะไรบ้าง พระองค์ไม่ทรงวิตกอยู่แล้ว แต่การกลับตรงกันข้าม เมื่อชาวประมงนำปลาใหญ่ขึ้นบนบกแล้วเอาไปขายที่ตลาดสดขายปลา องค์ชายจึงหมดพลังที่จะกลับกลายเป็นมังกรลงน้ำอีกต่อไป จึงร้องเสียงก้องฟ้าสะท้อนผิวน้ำลงไปเมืองบาดาลพระราชวังของพระบิดา

..........พระองค์ทรงโกรธพวกทหารองครักษ์ ที่ไม่ห้ามปรามโอรส และวิตกว่าจะช่วยโอรสได้อย่างไร

..........ฝ่ายองค์หญิงทรงได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือดังก้องฟ้ามา พระองค์จึงรับสั่งให้ซ่านฉายไปจัดการประมูลซื้อปลาตัวนั้นมาให้ได้ ซ่านฉายจึงรีบไปตลาดค้าปลา เห็นคนจ่ายตลาดกำลังต่อรองราคาปลาใหญ่ตัวนั้น พร้อมทั้งชาวบ้านต่างพากันไปดูด้วยความสนใจ หลายคนขอซื้อปลาและต่อรองราคากับพ่อค้าปลา ฝ่ายซ่านฉายจึงรีบเข้าไปต่อรอง และให้ราคาสูงสุดพร้อมจ่ายเงินทันที พ่อค้าก็ยอมขายให้ ซ่านฉายขอให้พ่อค้ารักษาปลาไว้ก่อนอย่าฆ่าและทำอันตราย

..........ฝ่ายพระนางทรงเห็นด้วยทิพย์ จึงตรัสมาด้วยเสียงให้ชาวบ้านทั้งหลายที่นั้นได้ยินกันทั่วว่า “ชีวิตปลาตัวนี้เป็นของใครก็ได้ ที่จะช่วยให้รอดพ้นภัย มิใช่ใครก็ได้ที่จะเอามันไปฆ่าได้ง่ายๆ” เท่านั้นเองบรรดาคนมุงดูทั้งหลาย ต่างตกใจพากันคารวะองค์เจ้าแม่ตามพระสุรเสียง ซ่านฉายได้ทีจึงวานชาวบ้านที่มุงดูอยู่ให้ช่วยยกปลาใส่รถเข็นแล้วช่วยกันเข็นไปที่ท่าเรือตังเก แล้วช่วยกันยกปลาลงน้ำ พอปลาถูกน้ำก็กลายเป็นมังกรแหวกว่ายดำน้ำหายไป

..........เมื่อองต์ชายกลับไปถึงวังบาดาล กราบทูลให้พระบิดาทรงทราบ พญามังกรตงไห่หลงหวางจึงขอบคุณพระนางที่ได้ทรงช่วยเหลือบุตรของตนให้พ้นภัย พระองค์จึงทรงส่งหลานสาวคือองค์หญิงหลงหนิ่วหรือนางสาวมังกร มาให้ปรนนิบัติพระนางพร้อมด้วยไข่มุกวิเศษเม็ดหนึ่ง พระองค์จึงทรงรับไว้ ฝ่ายองค์หญิงหลงหนิ่วได้ปรนนิบัติไปได้ระยะหนึ่ง จึงขอเป็นศิษย์พระนาง พระองค์ทรงรับไว้ พร้อมทั้งให้ดูแลรักษาและเก็บไข่มุกวิเศษเม็ดนั้นด้วย

..........ดังนั้นเราจะเห็นรูปเด็กชายหน้าแดง พนมมือ ก็คือ ซ่านฉาย ส่วนเด็กสาวก็คือ องค์หญิงหลงหนิ่วถือตะกร้าใส่ไข่มุกวิเศษ หรือ สองมือประสานสอดเข้าไปปลายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยืนหน้าองค์พระกวนอิม