วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

เทพเจ้าจงขุ่ย เทพผู้กำราบเหล่าผี



เทพเจ้าจงขุ่ย เทพผู้กำราบเหล่าผี



..........วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี ตามความเชื่อของฝั่งตะวันตก จะถือว่าวันนี้เป็นวันที่วิญญาณร้ายจะออกมาจากนรก ผู้คนทั้งหลายจึงพยายามแต่งตัวเลียนแบบวิญญาณ เพื่อที่ว่าวิญญาณร้ายจะสับสนและไม่ทำร้ายตน


..........สำหรับชาวจีนนั้นก็มีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณร้ายหรือปีศาจออกอาละวาดทำร้ายประชาชนหลายเรื่อง ซึ่งเทพเจ้าที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในด้านการปราบปีศาจที่คนจีนยกย่องคือ เทพเจ้าจงขุ่ย

..........โดยตำนานเล่าว่า เทพเจ้าจงขุ่ยเคยเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยมาสอบจอหงวนได้ในสมัยถังเกาจงฮ่องเต้ แต่เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัวและอัปลักษณ์ จึงทำให้ทดสอบไม่ผ่าน ด้วยความผิดหวังจึงโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อถังเกาจงฮ่องเต้ทราบข่าวจึงเกิดความเมตตาสงสาร ทรงพระราชทานชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นให้เป็นกรณีพิเศษและจัดพิธีศพให้ จงขุ่ยทราบซึ้งเป็นอย่างมากจึงตั้งใจที่จะพิทักษ์อารักขาฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าถัง

..........ต่อมาในสมัยถังเสวียนจงฮ่องเต้ (บางตำนานเล่าว่าเป็นสมัยถังหมินหวัง) ได้ทรงประชวรอย่างหนัก คืนหนึ่งได้ทรงพระสุบินว่า มีผีน้อยตนหนึ่งเข้ามาขโมยขลุ่ยหยกของพระองค์ ทันใดนั้นก็ปรากฏผีอีกตนหนึ่งใส่ชุดขุนนางสีแดง หน้าตาดุดัน หนวดเคราชี้ชัน ออกมาจับผีน้อยตนนั้น จับหักแขนขาและควักลูกตาออกมากิน

..........ฮ่องเต้ตื่นขึ้นและสอบถามจึงทราบความเป็นมาของจงขุ่ย จากนั้นจึงบัญชาให้จิตรกรเอกนาม อู๋เต้าจื่อ วาดภาพตามที่ทรงเห็นในพระสุบิน และนำออกแจกจ่ายชาวบ้าน เพื่อนำติดที่หน้าบ้านป้องกันสิ่งอัปมงคลและสิ่งชั่วร้ายนานับประการ

..........ตามปฏิทินจีนจะมีวันเทศกาลตวนอู่ คือวันที่ 5 เดือน 5 ซึ่งอาจจะถือเป็นวันฮัลโลวีนของชาวจีนก็ได้ เนื่องจากเป็นวันที่ปล่อยผีออกมาพบญาติ

..........ลักษณะของจงขุ่ยที่มักปรากฏคือ เทพเจ้าหน้าดำ ตาโปนโต หนวดเคราชี้ชัน สวมชุดขุนนางสีแดง ในมือถือกระบี่ตลอดเวลา ว่ากันว่าเทพเจ้าจงขุ่ยมีทหารในสังกัด 3 พันนาย เพื่อต่อสู้กับปีศาจร้าย

เฒ่าจันทรา ... ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก



เฒ่าจันทรา ... ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก





..........แต่หากพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับความรักของชาวจีนแล้วคงจะนึกถึง “ตำนานด้ายแดงแห่งความรัก” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงคู่แท้ โดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ถังมีชายคนหนึ่งนามว่า “เหวยกู่” บัณฑิตหนุ่มรูปงามมีฐานะ ได้เดินเที่ยวเล่นในตัวเมืองจนไปพบกับชายแก่คนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือประหลาดอยู่ เหวยกู่จึงเข้าไปพูดคุยเพื่อสอบถามว่าอ่านหนังสืออะไรอยู่ ชายแก่ได้ตอบกลับว่ากำลังอ่านตำราการแต่งงานของชาวโลก เหวยกู่รู้สึกไม่เชื่อคิดว่าเป็นชายแก่เสียสติ


.......... แท้จริงแล้วชายแก่คนนั้นคือ “เฒ่าจันทรา” มีหน้าที่เป็นพ่อสื่อชักนำคนรักให้กับมนุษย์โลก โดยจะเป็นผู้ผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้วของชายหญิงที่เป็นเนื้อคู่กัน และเมื่อผูกแล้วหากถึงเวลาจะได้แต่งงานกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายเพียงใดก็ตาม ด้ายแดงที่ว่านี้จะล่องหน มีเพียง “เฒ่าจันทรา” เท่านั้นที่เห็น โดยด้ายนี้อาจจะมีการผูกปมเพื่อให้พบรักกันเร็วขึ้นก็เป็นได้ หรือหาก “เฒ่าจันทรา” เห็นว่าความรักนี้ไม่เหมาะสมก็จะใช้ “กรรไกรตัดวาสนา” ตัดด้ายแดงออกทำให้หมดสิทธิ์รักกัน


..........เหวยกู่รู้สึกสนใจจึงถาม “เฒ่าจันทรา” ไปว่า แล้วคู่ครองของตนเป็นคนอย่างไร เฒ่าจันทราได้พาเหวยกู่ไปหาเนื้อคู่ แต่ทิศทางที่ไปไม่ได้ไปยังชุมชนของคนมีฐานะ หากแต่ไปยังตลาดเก่าแห่งหนึ่ง และเฒ่าจันทราได้ชี้ให้เหวยกู่ดูเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมที่เป็นลูกสาวของแม่ค้าในตลาด พร้อมกับบอกว่า “นั่นแหละคือเนื้อคู่ของเจ้า” ก่อนที่จะหายตัวไป



..........เหวยกู่รู้สึกโมโหมากเมื่อรู้ว่าคู่ครองของตนเป็นเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมม เมื่อกลับถึงบ้านจึงจ้างให้คนรับใช้ในบ้านไปสังหารเด็กน้อยคนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเหวยกู่สอบได้เป็นจอหงวน พร้อมกับเจ้าเมืองได้ยกลูกสาวให้เป็นคู่ครอง ชีวิตกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และคิดว่าคำบอกเล่าของเฒ่าจันทราเป็นเรื่องโกหก


..........หลังจากครองคู่กันได้ระยะหนึ่ง เหวยกู่ก็สังเกตว่าที่หน้าผากของภรรยามีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ จึงถามนางว่าคืออะไร นางได้เล่าให้ฟังว่า แท้จริงแล้วนางไม่ได้เป็นลูกสาวของเจ้าเมือง หากแต่เป็นลูกของแม่ค้าจนๆ ในวัยเด็กมีชายคนหนึ่งใช้มีดกรีดหน้าของตนแล้วจากไป และเจ้าเมืองผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรับอุปการะตนเป็นลูกสาว เมื่อฟังจบเหวยกู่ได้ตามคนรับใช้ที่จ้างให้ไปสังหารมา คนรับใช้ได้สารภาพว่า เขาไม่อาจทำใจสังหารเด็กน้อยคนนั้นได้ จึงเพียงใช้มีดกรีดหน้าเป็นสัญลักษณ์ไว้เท่านั้น



..........เมื่อเหวยกู่ทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ทำให้เขารู้ว่าที่เฒ่าจันทราบอกไว้เป็นความจริง จึงทำการขอขมาภรรยาและแม่ของนาง ก่อนที่จะครองรักกันไปอย่างมีความสุข



..........ส่วนรูปลักษณ์ของเฒ่าจันทรานั้นเป็นชายแก่ผมยาวสีขาว ไว้หนวดเครายาวสีขาวเหมือนเส้นผม ชอบนั่งอยู่บนก้อนหิน มือหนึ่งถือด้ายแดง อีกมือหนึ่งถือไม้เท้าที่แขวนตำราคู่ครอง สะพายย่ามที่ข้างในบรรจุด้ายแดงไว้ หากใครที่ยังไม่พบเนื้อคู่ ก็ขอให้ด้ายแดงนำพาคู่ครองมาเจอในเร็ววันนะครับ

ซ่านฉาย



ซ่านฉาย 善財 หรือ สุทธนะ



..........ซ่านฉาย 善財 หรือ สุทธนะ แปลว่าเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง หรือ หงไห่เอ้อ หรือเด็กผิวแดง 紅孩兒 , 红孩儿 หรือเป็นที่รู้จักกันในเรื่องไซอิ๋วว่า เซิ่งยิ๊นไต้หวาง 聖嬰大王 เป็นเด็กชาวอินเดีย ขาพิการมาแต่กำเนิด เขาทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์สอนธรรมที่เกาะผู่ถัว เขาจึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อไปหาพระกวนอิมโพธิสัตว์ พระกวนอิมได้สนทนากับเขา เพื่อทดสอบเกี่ยวกับพุทธศาสนาและความซื่อสัตย์ ด้วยการร่ายเวทมนตร์ทำให้ดาบสามเล่มกลายเป็นโจรสลัดสามคนวิ่งขึ้นเขาจะไปทำร้ายพระองค์ พระอ
งค์จึงวิ่งไปที่หน้าผาหนีโจรสลัด



...........ซ่านฉายเห็นดังนั้นจึงรีบปีนเขาไปช่วยด้วยการไล่ตามไปกระชั้นชิด ซ่านฉายคลานไปตามหน้าผาเพื่อช่วยอาจารย์ แต่โชคไม่ดีพลัดตกจากหน้าผา แต่พระกวนอิมช่วยไว้ได้แล้วสั่งให้เขาเดินดู ซ่านฉายลองเดินดู ปรากฏว่าขาของเขาเป็นปกติ เมื่อเขามองดูหน้าตาของตัวเองในสระน้ำ ปรากฏว่ารูปหล่อมาก ตั้งแต่นั้นมาพระกวนอิมจึงสอนธรรมให้แก่เขา และเป็นศิษย์ของพระกวนอิมรวมทั้งเป็นองครักษ์ด้วย

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

ม่าจ้อโป๋(เจ้าแม่ทับทิม)



ประวัติม่าจ้อโป๋


     



          ม่าโจ้วก็คือเทียงโหว ( เจ้าแม่สวรรค์ ฮองเฮาสวรรค์ ) เป็นเทพแห่งทะเลตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของจีน มาจนถึงประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ จะมีศาลเจ้าม่าโจ้วตั้งอยู่มากมาย เฉพาะที่ไต้หวันแห่งเดียวก็มีศาลเจ้าม่าโจ้วมากกว่า 500 ศาลเจ้า เล่ากันว่าก่อนที่ม่าโจ้วจะโด่งดังเป็นเทพแห่งทะเลนั้น



         ท่านจุติเป็นมนุษย์ เป็นสาวชาวเล ชื่อว่า หลิ่มมิก เป็นชาวฮกเกี้ยน มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ.960-ค.ศ.987 สิริอายุแค่ 27 ปีเท่านั้น ตั้งแต่เกิดเจ้าแม่ไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว บิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า มิก แปลว่า เงียบ นอกจากไม่ร้องไห้แล้ว ยังมีกลิ่นหอมขจรไกลเป็นลี้ กลิ่นหอมนี้หอมอวลเป็นเดือน พออายุ 1 ขวบ ก็ชอบพนมมือเหมือนเทพ อายุได้ 5 ขวบ สวดมนต์บูชาเจ้าแม่กวนอิมได้ ครั้งโตเป็นสาวรุ่น     หลิ่มมิกก็มีตาทิพย์ สามารถทำนายอนาคต หยั่งรู้ดินฟ้าอากาศ มีความรู้ทางการแพทย์สามารถรักษาโรคได้ ชาวบ้านเคารพนับถือมาก พากัน เรียกเธอว่า หมิ่กเนี้ย


          แม้ว่าหลิ่มมิกจะมีพลังวิเศษอันลึกลับ แต่พลังวิเศษที่สุดของหลิ่มมิก  กลับเป็นประสาทสัมผัสที่หกเกี่ยวกับท้องทะเล ครั้งหนึ่งบิดาของหลิ่มมิกพาบุตรชายทั้งสี่คน แจวเรือไปทำธุระที่เมืองฮกจิว       ทิ้งหลิ่มมิกให้อยู่บ้านกับมารดาแต่ลำพัง และคืนนั้นเอง จู่ๆ หลิ่มมิกก็ลุกขึ้นมาทำท่าทางแปลกๆ กางไม้กางมือ กางแขนกางขา มารดาตกใจมาก รีบปลุกหลิ่มมิกพร้อมกับถามว่าฝันร้ายใช่ไหม หลิ่มมิกบอกกับมารดาว่า “เรือของท่านพ่อกับพี่ๆเจอพายุกลางทะเล” ท่านแม่ตกใจหน้าซีดเผือด หลิ่มมิกพูดเชิงตำหนิมารดาว่า “เมื่อตะกี้นี้ ข้าใช้มือ ใช้เท้า ใช้ปาก ดึงเรือเอาไว้ เรือกำลังจะปลอดภัยแล้วเชียว ท่านไม่น่าเรียกข้ากลับมาเลย เรือของพี่ใหญ่จึงลอยหายไป  ดูท่าพี่ใหญ่คงจะไม่รอดเสียแล้ว” หลายวันต่อมา บิดากับพี่ๆก็กลับมาถึงบ้าน พวกเขาร้องไห้ บอกว่าเจอพายุกลางทะเล และยังเล่าอีกว่า ตอนที่เกิดพายุนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งช่วยลากจูงเรือเข้าฝั่ง เล่ามาถึงตรงนี้คนในบ้าน จึงทราบว่า ที่หลิ่มมิกกางกางขา ทำท่าแปลกๆ นั้น ที่แท้เธอกำลัง ถอดวิญญาณ ไปช่วยบิดากับพี่ๆ นั้นเอง


         
             เมื่อหลิ่มมิกโตเป็นสาว เธอสาบานว่าจะไม่แต่งงาน เธอมักจะนั่งเรือออกทะเล ท่องเที่ยวยังเกาะแก่งต่างๆ เธอเป็นคนใจดีมีเมตตา จึงมักจะช่วยเหลือเหล่าชาวประมง และพ่อค้านายวาณิชที่ประสบภัยทางทะเล ผู้คนนับถือมาก พากันเรียกเธอว่าเซียนหญิง หรือไม่ก็ เหล่งนึ่ง ( มังกรสาว ) ครั้งหนึ่งเธอพยายามจะช่วยชาวประมงที่ประสบภัยทางทะเล แต่เนื่องจากพายุแรงมาก เธอจึงเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ชาวบ้านทำใจไม่ได้ ไม่ยอมรับว่าหลิ่มมิกตายแล้ว ต่างเล่าลือกันว่าเธอบำเพ็ญพรตจนสำเร็จเป็นเซียนขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ตอนที่จะขึ้น สวรรค์นั้น มีเสียงดนตรีกังวานมาจากฟากฟ้าปุยเมฆลอยต่ำ และแล้วหลิ่มมิกก็เหยียบเมฆเหาะขึ้นสวรรค์ไป


            ต่อมาชาวบ้านก็ล่ำลือกันอีกว่า เห็นหลิ่มมิกสวมเสื้อสีแดง เหาะไปมาเหนือทะเล ลือกันจนกระทั่งหลิ่มมิกกลายเป็นเซียนที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ชาวบ้านแถวอำเภอผู่ช้าง มณฑล ฮกเกี้ยน จึงสร้างศาลเจ้าขึ้น ปี ค.ศ.1123 ลู่วิ้นตี๋ ได้รับบัญชาจาก ซ่งฮุยจงฮ่องเต้ ให้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเกาหลีเดินทางมาถึงทะเลป๋อไห่ เจอพายุใหญ่ เรือเดินสมุทร 8 ลำ จมหายไป 7 ลำ ลู่วิ้นตี๋กลัวมาก หลับตาอธิฐานว่า “ม่าโจ้วช่วยลูกด้วย ม่าโจ้วช่วยลูกด้วย” สิ้นคำอธิฐาน ลู่วิ้นตี๋ก็รู้สึกว่าเรือหายโครงเครงแล้ว ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นเซียนหญิงสวมชุดสีแดง ยืนอยู่บนหัวเรือ ด้วยความคุ้มครองของม่าโจ้ว ในที่สุดลู่วิ้นตี๋ก็เดินทางถึงเกาหลีโดยสวัสดิภาพ  หลังจากนั้น ยังมีเรือขุนนาง และเรือชาวบ้านอีกหลายลำที่เจอพายุร้ายกลางทะเล แต่แคล้วคลาดปลอดภัย เนื่องจากหลิ่มโก้วเนี้ยสำแดงปาฏิหาริย์ช่วยคุ้มครอง ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ก็ยิ่งลือลั่น ศาลเจ้าในอำเภอผู่ช้างคลาค่ำไปด้วยฝูงชน แออัดจนต้องขยายสาขาไปตามหัวเมืองต่างๆ ในแถบชายฝั่งทะเลอย่างรวดเร็ว ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ แม้แต่ฮ่องเต้ยังยอมรับ ดังนั้นในช่วงเจ็ดแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ เจ้าแม่จึงได้รับอิสริยยศเลื่อนขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จากสามัญชนขึ้นมาเป็นหลิ่โกวเนี้ย แล้วก็เลื่อนขึ้นมาเป็นฮูหยิน เป็นฮุย ( พระสนม ) เทียงฮุย ( พระสนมสวรรค์ ) เซี่ยฮุย ( พระแม่เจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ) เทียงโหว ( ฮองเฮาสวรรค์ ) ซึ่งเป็นยศสูงสุด




ขอขอบคุณ  http://writer.dek-d.com/indream_d/story/viewlongc.php?id=353009&chapter=45

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

พระแม่ซีหวังหมู่



พระแม่ซีหวังหมู่




ตามความเชื่อของจีนนั้นเจ้าแม่ซีหวังหมู่ หรืออ่วงบ้อเนี่ยเนี๊ยหรือซาจับซาเทียงเหล่าอ่วงบ๊อ คนไทยรู้จักกันในนามกิมบ่อเนี๊ย เป็นราชินีสวรรค์ซึ่งพำนักอยู่ที่เทือกเขาคุนหลุนทางตะวันตกของจีน ทำหน้าที่ปกครองเทพฝ่ายหญิงทั้งหมดและยังมีบทบาทที่สำคัญในการส่งเซียนองค์ใดองค์หนึ่งลงไปยังโลกมนุษย์

ท่านเกิดวันที่ 1 เดือน 3 ของทุกปีและจะจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต เหล่าทวยเทพก็จะพากันไปร่วมงานด้วย นอกจากนี้ท่านยังเป็นเจ้าของสวนท้อวิเศษที่ใหญ่มากตั้งอยู่ที่เขากั่วซานแห่งเทือกเขา คุนหลุน ซึ่งมีถึง 3 ส่วนใหญ่ๆเลย คือ ส่วนแรกจะสุกทุกๆ 3000 ปี ส่วนที่สองจะสุกทุกๆ 6000 ปี และส่วนที่สามจะสุกทุกๆ 9000 ปี

ท่านยังมีบริวารเป็นนกกระเรียนพันปีสีน้ำเงิน, เสือขาว, กวาง และเต่าพันปี ชาวจีนส่วนใหญ่นิยมบูชาเพราะเชื่อว่าท่านเป็นเทพธิดาแห่งความเจริญอันยืนยาวและความสุขนิรันดร์