ประวัติม่าจ้อโป๋
ม่าโจ้วก็คือเทียงโหว ( เจ้าแม่สวรรค์ ฮองเฮาสวรรค์ ) เป็นเทพแห่งทะเลตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของจีน มาจนถึงประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ จะมีศาลเจ้าม่าโจ้วตั้งอยู่มากมาย เฉพาะที่ไต้หวันแห่งเดียวก็มีศาลเจ้าม่าโจ้วมากกว่า 500 ศาลเจ้า เล่ากันว่าก่อนที่ม่าโจ้วจะโด่งดังเป็นเทพแห่งทะเลนั้น
ท่านจุติเป็นมนุษย์ เป็นสาวชาวเล ชื่อว่า หลิ่มมิก เป็นชาวฮกเกี้ยน มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ.960-ค.ศ.987 สิริอายุแค่ 27 ปีเท่านั้น ตั้งแต่เกิดเจ้าแม่ไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว บิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า มิก แปลว่า เงียบ นอกจากไม่ร้องไห้แล้ว ยังมีกลิ่นหอมขจรไกลเป็นลี้ กลิ่นหอมนี้หอมอวลเป็นเดือน พออายุ 1 ขวบ ก็ชอบพนมมือเหมือนเทพ อายุได้ 5 ขวบ สวดมนต์บูชาเจ้าแม่กวนอิมได้ ครั้งโตเป็นสาวรุ่น หลิ่มมิกก็มีตาทิพย์ สามารถทำนายอนาคต หยั่งรู้ดินฟ้าอากาศ มีความรู้ทางการแพทย์สามารถรักษาโรคได้ ชาวบ้านเคารพนับถือมาก พากัน เรียกเธอว่า หมิ่กเนี้ย
แม้ว่าหลิ่มมิกจะมีพลังวิเศษอันลึกลับ แต่พลังวิเศษที่สุดของหลิ่มมิก กลับเป็นประสาทสัมผัสที่หกเกี่ยวกับท้องทะเล ครั้งหนึ่งบิดาของหลิ่มมิกพาบุตรชายทั้งสี่คน แจวเรือไปทำธุระที่เมืองฮกจิว ทิ้งหลิ่มมิกให้อยู่บ้านกับมารดาแต่ลำพัง และคืนนั้นเอง จู่ๆ หลิ่มมิกก็ลุกขึ้นมาทำท่าทางแปลกๆ กางไม้กางมือ กางแขนกางขา มารดาตกใจมาก รีบปลุกหลิ่มมิกพร้อมกับถามว่าฝันร้ายใช่ไหม หลิ่มมิกบอกกับมารดาว่า “เรือของท่านพ่อกับพี่ๆเจอพายุกลางทะเล” ท่านแม่ตกใจหน้าซีดเผือด หลิ่มมิกพูดเชิงตำหนิมารดาว่า “เมื่อตะกี้นี้ ข้าใช้มือ ใช้เท้า ใช้ปาก ดึงเรือเอาไว้ เรือกำลังจะปลอดภัยแล้วเชียว ท่านไม่น่าเรียกข้ากลับมาเลย เรือของพี่ใหญ่จึงลอยหายไป ดูท่าพี่ใหญ่คงจะไม่รอดเสียแล้ว” หลายวันต่อมา บิดากับพี่ๆก็กลับมาถึงบ้าน พวกเขาร้องไห้ บอกว่าเจอพายุกลางทะเล และยังเล่าอีกว่า ตอนที่เกิดพายุนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งช่วยลากจูงเรือเข้าฝั่ง เล่ามาถึงตรงนี้คนในบ้าน จึงทราบว่า ที่หลิ่มมิกกางกางขา ทำท่าแปลกๆ นั้น ที่แท้เธอกำลัง ถอดวิญญาณ ไปช่วยบิดากับพี่ๆ นั้นเอง
เมื่อหลิ่มมิกโตเป็นสาว เธอสาบานว่าจะไม่แต่งงาน เธอมักจะนั่งเรือออกทะเล ท่องเที่ยวยังเกาะแก่งต่างๆ เธอเป็นคนใจดีมีเมตตา จึงมักจะช่วยเหลือเหล่าชาวประมง และพ่อค้านายวาณิชที่ประสบภัยทางทะเล ผู้คนนับถือมาก พากันเรียกเธอว่าเซียนหญิง หรือไม่ก็ เหล่งนึ่ง ( มังกรสาว ) ครั้งหนึ่งเธอพยายามจะช่วยชาวประมงที่ประสบภัยทางทะเล แต่เนื่องจากพายุแรงมาก เธอจึงเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ชาวบ้านทำใจไม่ได้ ไม่ยอมรับว่าหลิ่มมิกตายแล้ว ต่างเล่าลือกันว่าเธอบำเพ็ญพรตจนสำเร็จเป็นเซียนขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ตอนที่จะขึ้น สวรรค์นั้น มีเสียงดนตรีกังวานมาจากฟากฟ้าปุยเมฆลอยต่ำ และแล้วหลิ่มมิกก็เหยียบเมฆเหาะขึ้นสวรรค์ไป
ต่อมาชาวบ้านก็ล่ำลือกันอีกว่า เห็นหลิ่มมิกสวมเสื้อสีแดง เหาะไปมาเหนือทะเล ลือกันจนกระทั่งหลิ่มมิกกลายเป็นเซียนที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ชาวบ้านแถวอำเภอผู่ช้าง มณฑล ฮกเกี้ยน จึงสร้างศาลเจ้าขึ้น ปี ค.ศ.1123 ลู่วิ้นตี๋ ได้รับบัญชาจาก ซ่งฮุยจงฮ่องเต้ ให้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเกาหลีเดินทางมาถึงทะเลป๋อไห่ เจอพายุใหญ่ เรือเดินสมุทร 8 ลำ จมหายไป 7 ลำ ลู่วิ้นตี๋กลัวมาก หลับตาอธิฐานว่า “ม่าโจ้วช่วยลูกด้วย ม่าโจ้วช่วยลูกด้วย” สิ้นคำอธิฐาน ลู่วิ้นตี๋ก็รู้สึกว่าเรือหายโครงเครงแล้ว ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นเซียนหญิงสวมชุดสีแดง ยืนอยู่บนหัวเรือ ด้วยความคุ้มครองของม่าโจ้ว ในที่สุดลู่วิ้นตี๋ก็เดินทางถึงเกาหลีโดยสวัสดิภาพ หลังจากนั้น ยังมีเรือขุนนาง และเรือชาวบ้านอีกหลายลำที่เจอพายุร้ายกลางทะเล แต่แคล้วคลาดปลอดภัย เนื่องจากหลิ่มโก้วเนี้ยสำแดงปาฏิหาริย์ช่วยคุ้มครอง ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ก็ยิ่งลือลั่น ศาลเจ้าในอำเภอผู่ช้างคลาค่ำไปด้วยฝูงชน แออัดจนต้องขยายสาขาไปตามหัวเมืองต่างๆ ในแถบชายฝั่งทะเลอย่างรวดเร็ว ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ แม้แต่ฮ่องเต้ยังยอมรับ ดังนั้นในช่วงเจ็ดแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ เจ้าแม่จึงได้รับอิสริยยศเลื่อนขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จากสามัญชนขึ้นมาเป็นหลิ่โกวเนี้ย แล้วก็เลื่อนขึ้นมาเป็นฮูหยิน เป็นฮุย ( พระสนม ) เทียงฮุย ( พระสนมสวรรค์ ) เซี่ยฮุย ( พระแม่เจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ) เทียงโหว ( ฮองเฮาสวรรค์ ) ซึ่งเป็นยศสูงสุด
ขอขอบคุณ http://writer.dek-d.com/indream_d/story/viewlongc.php?id=353009&chapter=45
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น