พระอาจารย์หลิวชุนฮวงซือจุง
พฤฒาจารย์หลิวชุนฟง (หลิวชุนฮวง) เป็นบุคคลในสมัยราชวงศ์ถัง ในวัยหนุ่ม ท่านมีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียนมาก จนมีความเชี่ยวชาญในตันติวรรณคดีและประวัติศาสตร์ ปีศักราชเทียนเป่า แห่งพระจักรพรรดิถังเสฺวียนจง ( พ.ศ. ๑๒๘๕-๑๒๙๙ ) ท่านสอบไล่ได้เป็นจิ้นสือ กลางรัชสมัยเจินหยวน ได้รับราชการในตำแหน่งผิงเจียงซื่อ ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้แห่งแผ่นดินถัง ทรงมีพระราชดำริจะทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับชนเผ่าทู่ฟาน(ชนเผ่าหนึ่งใน ทิเบต)หากท่านกลับเห็นว่า โดยแท้นั้นชนเผ่าทู่ฟานเป็นคนป่าเถื่อนจึงยากจะหาสัจจะใดๆได้ ทั้งนี้ การคิดจะผูกมิตรด้วยจึงหาควรไม่ ท่านจึงได้กราบทูลเสนอต่อฮ่องเต้ว่า ควรจะใช้แสนยานุภาพเข้าปราบปราม ฮ่องเต้มิทรงรับฟัง ผลที่สุดจึงถูกพวกทู่ฟานก่อการผิดสัญญาในเวลาต่อมา ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าท่านอาจารย์มีความสามารถในการบ้านเมือง ทั้งยังเข้าใจยุทธวิธีในการปกครองจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจงซูหลิง ทั้งยังทรงให้เป็นราชครูอีกด้วย นี้เองกระมังที่เป็นเหตุให้ท่านได้ใช้หลักคุณธรรมและศีลธรรมอบรมสั่งสอนข้า ราชบริภารในราชสำนัก ยังผลให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้าถึงซึ่งหลักคุณธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ คือ อริยะ ธรรมะ สุทธะ และโอตตัปปะ อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจของมนุษย์ หากที่สำคัญ ท่านยังมุ่งนิพนธ์สรรพตำราทางธรรมอีกด้วย กระนั้นก็ตาม ท่านก็ยังรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจแสวงหาอาจารย์ผู้มีความสามารถ เพื่อขอให้ท่านนั้นๆได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่างๆแก่ตน ตราบจนอายุได้ ๗๒ ปี ท่านจึงดำริจะลาออกจากราชการไปใช้ชีวิตอย่างสมถะ
เพื่อจะได้มีเวลาสงบจิตบำเพ็ญธรรม ในคืนวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๗ ในปีเดียวกัน ได้ปรากฎอัศจรรย์นิมิต บังเกิดเมฆเบญจสีขึ้น ณ บริเวณข้างกำแพงพระราชอุทยานเจาหยาง พร้อมกับแว่วเสียงขานเรียกชื่อของท่าน พลันท่านสำนึกได้ทันทีว่ามีผู้วิเศษมาเยือน จึงคุกเข่าลงคำนับและนมัสการถามไถ่ จึงได้ประจักษ์ชัดว่า ที่แท้คือท่านปรมาจารย์ ลือ ซุ่น เอี้ยง ได้มาโปรดแล้ว ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจลาออกจากราชการ และด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ท่านได้มุ่งสู่วิเวกสถานเพื่อปฏิบัติธรรมและขัดเกลากิเลสนิสสัย หลังจากนั้นไม่นานท่านก็สละโลกีย์ไปบำเพ็ญศีลอยู่ ณ อารามหยวนฮั่วซื่อ บนภูจื่อหยางซาน ในแต่ละวันท่านมีเพียงนกกระยางเป็นเพื่อน ทั้งท่านปรมาจารย์ ลือ ซุ่ง เอี้ยง ก็เสด็จมาประทานชี้แนะ ตลอดจนวิธีการและหลักทฤษฎีอันวิเศษลึกซึ้ง รวมทั้งเพิ่มพลังอิทธิฤิทธิ์บารมีให้อยู่เสมอ ในกลางวันท่านจะพากเพียรศึกษาคัมภีร์ต่างๆ ส่วนกลางคืนท่านจะขึ้นไปฝึกพลังลมปราณบนยอดเขา เป็นเช่นนี้ติดต่อกันจนประจักษ์ชัดในความเข้าใจอันสมบูรณ์แห่งสภาวะจิตและ บรรลุธรรมในที่สุด จึงได้ขนานนามตัวเองว่า “เฒ่าผู้ท่องภูเขาและทะเลสาป”(หู ซาน ซ่าน โส่ว)
ขอขอบคุณ http://www.tekkacheemukkhor.com/History_hlewchunhawong.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น